พบผลลัพธ์ทั้งหมด 663 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของนิติบุคคล, อายุความค่ากระแสไฟฟ้า, และการรับฟังพยานหลักฐานจากเอกสาร
โจทก์ส่งสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของโจทก์ต่อศาล แต่จำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าว ถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลรับฟังได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โจทก์ฟ้องคดีนี้โดย ว. ผู้ว่าการของโจทก์มอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทน การที่โจทก์นำสืบว่าว. เป็นผู้ว่าการของโจทก์ตามสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการและโจทก์โดย ว.ทำหนังสือมอบอำนาจให้ส. ดำเนินคดีแทน ตามหนังสือมอบอำนาจที่ส่งต่อศาล ย่อมแสดงว่า ว. เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์อยู่ในตัวเพราะการดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคลการที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 ที่บัญญัติให้ผู้ว่าการทำการแทนโจทก์มากล่าวเป็นเพียงระบุให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น มิใช่รับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่โจทก์นำสืบ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปถึงหน่วยเลขที่ 5636 แต่จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าเพียงหน่วยเลขที่ 3717จึงขาดอยู่อีก 1919 หน่วย เป็นเงิน 2,965.43 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับแล้ว และโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าเมื่อเดือนเมษายน 2526 โจทก์ได้ตรวจพบว่า จ. พนักงานของโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าของลูกค้าซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วย โจทก์ได้ส่งพนักงานคนใหม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าที่เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าบ้านจำเลย จึงพบว่าจำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดไป อันเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนการที่จำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เมื่อใดเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยใด จำเลยค้างชำระเดือนละเท่าใดคิดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใด เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ดำเนินกิจการตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ. 2503 มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนอันมีลักษณะเป็นการสาธารณูปโภค จึงมิได้เป็นพ่อค้าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) การฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับพยานหลักฐานขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 90 แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับได้ตาม มาตรา 87(2)
ใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครองหรือไม่ แม้โจทก์จะมิได้ส่งให้แก่จำเลยซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจึงชอบที่จะให้รับเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตาม มาตรา 87(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้ออุทธรณ์ใหม่นอกเหนือคำให้การเดิม และการพิสูจน์หนี้ตามบัญชีธนาคาร ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเฉพาะข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว
อุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้และตั๋วสัญญาใช้เงินแตกต่างจากคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว ตามคำฟ้องได้ระบุยอดหนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงินถอนเงินและการคิดดอกเบี้ย ปรากฏตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องเมื่อจำเลยเห็นว่ารายการใดไม่ถูกต้อง ชอบที่จะให้การโต้แย้งไว้ว่าการคิดคำนวณรายการดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะเหตุใดและถามค้านพยานโจทก์ในข้อนั้นไว้ เมื่อสืบพยาน จำเลยก็นำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ เมื่อจำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ก็ดีไม่ได้นำสืบพยานหักล้างก็ดี ศาลชอบที่จะฟังตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์คิดคำนวณบัญชียอดหนี้ถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์นอกเหนือคำให้การเดิม และการโต้แย้งบัญชีหนี้สินที่ต้องยกขึ้นในชั้นศาล
อุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้และตั๋วสัญญาใช้เงินแตกต่างจากคำให้การจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องได้ระบุยอดหนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงิน ถอนเงินและการคิดดอกเบี้ย ปรากฏตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยเห็นว่ารายการใดไม่ถูกต้อง ชอบที่จะให้การโต้แย้งไว้ว่าการคิดคำนวณรายการดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะเหตุใดและถามค้านพยานโจทก์ในข้อนั้นไว้ เมื่อสืบพยาน จำเลยก็นำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ เมื่อจำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ก็ดี ไม่ได้นำสืบพยานหักล้างก็ดี ศาลชอบที่จะฟังตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์คิดคำนวณบัญชียอดหนี้ถูกต้องแล้ว
ตามคำฟ้องได้ระบุยอดหนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับการฝากเงิน ถอนเงินและการคิดดอกเบี้ย ปรากฏตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยเห็นว่ารายการใดไม่ถูกต้อง ชอบที่จะให้การโต้แย้งไว้ว่าการคิดคำนวณรายการดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะเหตุใดและถามค้านพยานโจทก์ในข้อนั้นไว้ เมื่อสืบพยาน จำเลยก็นำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ เมื่อจำเลยนำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ก็ดี ไม่ได้นำสืบพยานหักล้างก็ดี ศาลชอบที่จะฟังตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์คิดคำนวณบัญชียอดหนี้ถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่: แม้รายละเอียดฟ้องไม่สมบูรณ์ แต่ศาลไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม หากจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ และการนำสืบไม่เกินขอบเขตคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขออาศัยที่ดินพิพาทจากโจทก์เมื่อเดือนธันวาคม 2526 แต่ไม่บรรยายว่าขณะนั้นโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้อย่างไร และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขออาศัยเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขัดแย้งกันนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถึงการเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยเป็นผู้อาศัยโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้วจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ข้อที่ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองอย่างไร เมื่อใด เป็นเพียงรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ส่วนที่ฟ้องขัดแย้งกันบ้างเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจผิดพลาดได้ เมื่ออ่านคำฟ้องทั้งฉบับก็พอเข้าใจได้ทั้งจำเลยก็สามารถให้การสู้คดีได้แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจาก น. แต่นำสืบว่าจำเลยขายฝากที่ดินพิพาทให้ น. ต่อมาจำเลยกู้เงินโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้ไถ่ถอนการขายฝากจาก น. และตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนการขายฝากแล้วจำเลยจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ ครั้นเมื่อจำเลยนำเงินชำระหนี้ น. แล้ว จำเลยไม่มีเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์จำเลยและ น.จึงตกลงกันให้ น. โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการซื้อที่ดินพิพาทจาก น. ว่ามีขั้นตอนอย่างไร จนผลสุดท้ายเกิดการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับโจทก์ โดยผลจากการที่โจทก์เป็นผู้ออกเงิน ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่และการพิสูจน์ที่มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: ศาลวินิจฉัยตามพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แม้รายละเอียดต่างจากที่ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยเป็นผู้อาศัยโจทก์อยู่ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยต่อไปอีก จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอมออกทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนข้อความที่ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอย่างไร เมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก น. โจทก์ให้จำเลยอาศัยที่ดินพิพาทอยู่ การที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจาก น.และในที่สุดจำเลยตกลงจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์หลังจากไถ่ถอนการขายฝากแล้ว โดยโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ ต่อมาเมื่อมีการนำเงินไปชำระหนี้ค่าไถ่ถอนการขายฝากให้ น. แล้วจำเลยไม่มีเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากเพื่อโอนที่ดินกลับเป็นของจำเลย โจทก์จำเลยและ น. จึงตกลงกันให้ น. จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการซื้อที่ดินพิพาทจาก น. ว่ามีขั้นตอนอย่างไรจนผลสุดท้ายเกิดการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับโจทก์โดยผลจากการที่โจทก์ได้เป็นผู้ออกเงินค่าที่ดินในการที่ได้ที่ดินพิพาทมา ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับที่มาแห่งการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดินสาธารณะ การรบกวนสิทธิ และอำนาจฟ้องคดีอาญา/แพ่ง
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์มิใช่ของโจทก์โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุกได้ ทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยในระหว่างโจทก์และจำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยบุกรุกนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362และให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแม้ฟ้องโจทก์จะยืนยันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตามแต่การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดินสาธารณะและการรบกวนสิทธิ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้อง จำเลยข้อหาบุกรุกได้ ทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ในระหว่างโจทก์และจำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปัก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362และให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ฟ้องโจทก์จะยืนยันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นเนรคุณและการให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีพ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นหมิ่นประมาทนอกประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาว่า โจทก์เป็นคนยากไร้ซึ่งต้องการสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตจากจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาที่อยู่ในประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลกำหนดไว้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณดังโจทก์กล่าวอ้างหรือไม่
ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยบอกปัดไม่ให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และยังสามารถจะให้ได้เท่านั้น ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น และมิใช่ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยบอกปัดไม่ให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และยังสามารถจะให้ได้เท่านั้น ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น และมิใช่ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการยกที่ดินให้เนื่องจากจำเลยไม่เลี้ยงดูและประพฤติเนรคุณ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นหมิ่นประมาท
ปัญหาว่า โจทก์เป็นคนยากไร้ซึ่งต้องการสิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตจากจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาที่อยู่ในประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลกำหนดไว้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณดังโจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยบอกปัดไม่ให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และยังสามารถจะให้ได้เท่านั้น ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น และมิใช่ข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้