พบผลลัพธ์ทั้งหมด 663 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2181/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านหนี้ในคดีล้มละลายและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับหุ้น กรณีไม่แจ้งการโอนหุ้น
แม้ผู้ร้องไม่ไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนตามกำหนดนัดเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาล ตามมาตรา 119 วรรคสาม ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้(จำเลย) หรือไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้ออ้างข้อต่อสู้ในชั้นศาล และนำพยานหลักฐานเข้าสืบได้ ไม่ถือว่าการนำสืบพยานหลักฐานเป็นอันยุติไปตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการสอบสวนแต่อย่างใด
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อระหว่างผู้ร้องกับ น. และ ธ. ยังมิได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุผลใด ๆ มาเป็นข้อยกเว้นบทบัญญัติของ มาตรา 1129วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความรับผิดในค่าหุ้นที่ค้างได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 22(2) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่บริษัทลูกหนี้ (จำเลย) หรือซึ่งบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องต้องห้ามมิให้ยกการโอนหุ้นขึ้นยันบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจยกการโอนหุ้นขึ้นยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน.
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อระหว่างผู้ร้องกับ น. และ ธ. ยังมิได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุผลใด ๆ มาเป็นข้อยกเว้นบทบัญญัติของ มาตรา 1129วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความรับผิดในค่าหุ้นที่ค้างได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 22(2) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่บริษัทลูกหนี้ (จำเลย) หรือซึ่งบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องต้องห้ามมิให้ยกการโอนหุ้นขึ้นยันบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจยกการโอนหุ้นขึ้นยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2181/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืนยันหนี้ค่าหุ้นในคดีล้มละลาย ผู้ถือหุ้นต้องแจ้งการโอนหุ้นเพื่อหลุดพ้นความรับผิด
แม้ผู้ร้องไม่ไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนตามกำหนดนัดเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาล ตามมาตรา 119 วรรคสาม ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) หรือไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้ออ้างข้อต่อสู้ในชั้นศาล และนำพยานหลักฐานเข้าสืบได้ ไม่ถือว่าการนำสืบพยานหลักฐานเป็นอันยุติไปตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการสอบสวนแต่อย่างใด
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อระหว่างผู้ร้องกับ น. และ ธ. ยังมิได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุผลใด ๆ มาเป็นข้อยกเว้นบทบัญญัติของ มาตรา 1129 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความรับผิดในค่าหุ้นที่ค้างได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 22 (2) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่บริษัทลูกหนี้ (จำเลย) หรือซึ่งบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องต้องห้ามมิให้ยกการโอนหุ้นขึ้นยันบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจยกการโอนหุ้นขึ้นยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน
การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อระหว่างผู้ร้องกับ น. และ ธ. ยังมิได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ผู้ร้องจึงไม่อาจอ้างเหตุผลใด ๆ มาเป็นข้อยกเว้นบทบัญญัติของ มาตรา 1129 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นไปจากความรับผิดในค่าหุ้นที่ค้างได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 22 (2) ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่บริษัทลูกหนี้ (จำเลย) หรือซึ่งบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องต้องห้ามมิให้ยกการโอนหุ้นขึ้นยันบริษัทลูกหนี้ (จำเลย) ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องก็ย่อมไม่อาจยกการโอนหุ้นขึ้นยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินมรดก: การอ้างพินัยกรรมและการครอบครองเพื่อประโยชน์ตนเอง
โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย แต่เมื่อจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเดิมที่พิพาทเป็นของบิดามารดาโจทก์จำเลย และตกทอดเป็นมรดกที่โจทก์และจำเลยครอบครองร่วมกัน ขอให้แบ่งแก่จำเลยครึ่งหนึ่งโจทก์จึงอ้างในคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยบิดาทำพินัยกรรมยกให้ ก่อนบิดาตายได้ยกสิทธิครอบครองให้โจทก์ โจทก์แจ้งการครอบครองที่พิพาทจนได้รับ ส.ค. 1เป็นหลักฐานนั้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่โจทก์มีอำนาจกระทำได้หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่ประการใดไม่และการที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพินัยกรรมดังกล่าว ก็มิใช่เป็นการรับฟังว่าพินัยกรรมมีผลบังคับในฐานะเป็นพินัยกรรม แต่เป็นการรับฟังประกอบพฤติการณ์ที่โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทมาก่อนบิดาผู้ทำพินัยกรรมตาย อันเป็นเหตุให้โจทก์ไปทำ ส.ค.1 ไว้เท่านั้น จึงไม่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4477/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน & การร้องสอดคดี: ศาลฎีกาเน้นการพิจารณาเฉพาะประเด็นพิพาทตรงระหว่างโจทก์จำเลย
โจทก์จำเลยต่างอ้างอ.เป็นพยานร่วมกันในฐานะคนกลางแม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ก็ตามแต่เป็นเวลาภายหลังที่พยานเบิกความแล้วจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงน้ำหนักคำพยานดังกล่าวในฐานะพยานร่วมให้เสียไปแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์และในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้นถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4477/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน & การร้องสอดคดี: ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิเจ้าของที่ดินเดิม & ยกคำร้องสอดที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาท
โจทก์จำเลยต่างอ้าง อ.เป็นพยานร่วมกันในฐานะคนกลางแม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ก็ตาม แต่เป็นเวลาภายหลังที่พยานเบิกความแล้ว จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงน้ำหนักคำพยานดังกล่าวในฐานะพยานร่วมให้เสียไปแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และในการทำแผนที่พิพาท โจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้น ถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลย เจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี ไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และในการทำแผนที่พิพาท โจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้น ถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลย เจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี ไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4477/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และการร้องสอดในคดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลัก
โจทก์จำเลยต่างอ้าง อ.เป็นพยานร่วมกันในฐานะคนกลางแม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ก็ตาม แต่เป็นเวลาภายหลังที่พยานเบิกความแล้ว จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงน้ำหนักคำพยานดังกล่าวในฐานะพยานร่วมให้เสียไปแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และในการทำแผนที่พิพาท โจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้น ถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลย เจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี ไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และในการทำแผนที่พิพาท โจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้น ถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลย เจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี ไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3949/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีโดยไม่มีมูลเหตุ และผลของการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล
การนัดสืบพยานโจทก์ตามที่ทนายจำเลยขอเลื่อนนั้น ทนายจำเลยเป็นผู้กำหนดขอให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เอง และตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยดังกล่าว ได้อ้างเหตุว่าติดว่าความในคดีอื่น ซึ่งปรากฏว่าในคดีนั้นคู่ความมิได้แต่งตั้งทนายจำเลยคดีนี้เป็นทนายความ ดังนี้การขอเลื่อนคดีของจำเลยจึงปราศจากมูลเหตุที่จะอ้าง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 88 จำเลยจึงไม่อาจนำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 88 จำเลยจึงไม่อาจนำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3949/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และผลกระทบต่อการนำพยานหลักฐานเข้าสืบ
มาตรา40,87,88วรรคแรก,90 การนัดสืบพยานโจทก์ตามที่ทนายจำเลยขอเลื่อนนั้นทนายจำเลยเป็นผู้กำหนดขอให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เองและตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยดังกล่าวได้อ้างเหตุว่าติดว่าความในคดีอื่นซึ่งปรากฏว่าในคดีนั้นคู่ความมิได้แต่งตั้งทนายจำเลยคดีนี้เป็นทนายความดังนี้การขอเลื่อนคดีของจำเลยจึงปราศจากมูลเหตุที่จะอ้าง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา88และ90ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันตามมาตรา88จำเลยจึงไม่อาจนำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3949/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีโดยไม่มีเหตุอันสมควร และผลกระทบต่อการนำสืบพยานหลักฐานในศาล
การนัดสืบพยานโจทก์ตามที่ทนายจำเลยขอเลื่อนนั้น ทนายจำเลย เป็นผู้กำหนดขอให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เอง และตาม คำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยดังกล่าวได้อ้างเหตุว่าติดว่าความ ในคดีอื่น ซึ่งปรากฏว่าในคดีนั้นคู่ความมิได้แต่งตั้งทนายจำเลยคดีนี้ เป็นทนายความ ดังนี้การขอเลื่อนคดีของจำเลยจึงปราศจากมูลเหตุที่จะอ้าง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐาน ได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 88 และ 90 ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 88 จำเลยจึงไม่อาจ นำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐาน ได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 88 และ 90 ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 88 จำเลยจึงไม่อาจ นำพยานหลักฐานหรือตนเองเข้าสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติสัมพันธ์-สัญญาประกันภัย-อายุความ-การชำระหนี้ต่างประเทศ: ศาลรับฟังเอกสาร-คำให้การไม่ชัดเจน
จำเลยที่2เป็นกรรมการจำเลยที่1จำเลยที่2ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ติดต่อกับต่างประเทศในด้านการทำประกันภัยต่อระบุตำแหน่งว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศของจำเลยที่1จำเลยที่2ลงชื่อในสัญญาที่ทำกับโจทก์โดยจำเลยที่1รู้เห็นและไม่ทักท้วงจำเลยที่2จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์เมื่อสัญญาเหล่านั้นเกี่ยวด้วยการรับประกันภัยอันอยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่1โจทก์กับจำเลยที่1จึงย่อมมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยที่2มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารที่อ้างและทนายจำเลยที่1คัดค้านมิให้ศาลรับฟังแต่เมื่อประธานกรรมการจำเลยที่1เบิกความทนายจำเลยที่2ได้ถามพยานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวพยานเบิกความรับรองศาลชั้นต้นรับเอกสารนี้ไว้และสั่งให้จำเลยที่2เสียค่าอ้างจำเลยที่2ได้เสียค่าอ้างเอกสารแล้วศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ตามเอกสารท้ายฟ้องมีข้อความว่าโจทก์เป็นผู้ถือบันทึกประกันภัยจำเลยที่1เป็นผู้รับประกันภัยโดยยอมรับส่วนการประกันภัยและยอมให้โจทก์มีอำนาจผูกพันบัญชีของจำเลยที่1และมีอำนาจออกกรมธรรม์ประกันภัยในนามของจำเลยที่1อันเกี่ยวกับการประกันภัยโดยตรงและการประกันภัยโดยทางอ้อมเมื่อได้ความตามฟ้องว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการรับประกันภัยเกิดขึ้นและมีหนี้ผูกพันเกี่ยวด้วยการปฏิบัติตามสัญญานั้นที่จำเลยที่1ค้างชำระแก่โจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดแต่ปรากฏตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่1ว่าจำเลยที่1ไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์ดังนั้นจึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่1จะยอมเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการแม้โจทก์มีความประสงค์เช่นนั้นและปรากฏตามฟ้องว่าก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามจำเลยที่1ให้ชำระหนี้แล้วจำเลยที่1ไม่ชำระการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ โจทก์ฟ้องเรียกเงินในส่วนที่จำเลยที่1จะต้องรับผิดต่อโจทก์อ้างความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่1และบริษัทคนกลางมีเอกสารท้ายฟ้องประกอบแสดงรายละเอียดจำนวนเงินที่จำเลยที่1ค้างชำระในแต่ละงวดแต่ละปีรวมเป็นยอดหนี้ทั้งสิ้นและขอให้ศาลบังคับจำเลยที่1ชำระตามยอดเงินตรงกับเอกสารท้ายฟ้องเป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่1ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยมิได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความกรณีใดบ้างเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในแต่ละประเภทมีกำหนดเวลาต่างกันคำให้การจำเลยที่1จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ในกรณีที่ต้องชำระหนี้กันเป็นเงินตราต่างประเทศศาลจะพิพากษาให้ใช้เงินตราต่างประเทศหรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเงินไทยโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการขายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยในวันที่มีคำพิพากษาถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มีก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา.