พบผลลัพธ์ทั้งหมด 663 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่เปิดเผยสัญญาหลังสืบพยานทำให้เสียเปรียบ และสถานะบริวารทำให้ไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
การที่จำเลยเพิ่งส่งสำเนาเอกสารสัญญาหลังจากโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ย่อมทำให้โจทก์เสียเปรียบในทางคดี เพราะอย่างน้อยก็ทำให้หมดโอกาสที่จะซํกถามพยานโจทก์หรือนำสืบหักล้างได้ ศาลย่อมไม่รับฟังเอกสารสัญญานั้นเป็นพยานหลักฐาน
จำเลยร่วมซึ่งเช่าห้องแถวจากจำเลยแม้จะเช่าเพื่ออยู่อาศัยก็ตาม เมื่ออยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยแล้ว ก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอบตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
จำเลยร่วมซึ่งเช่าห้องแถวจากจำเลยแม้จะเช่าเพื่ออยู่อาศัยก็ตาม เมื่ออยู่ในฐานะเป็นบริวารของจำเลยแล้ว ก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอบตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดขอบเขตการสืบพยานและความเสียหาย: เมื่อโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม ศาลไม่สมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ฎีกา
ถ้าเดิมโจทก์ฟ้องว่าหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 200,000 บาทแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 10,000 บาท แม้โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาให้ย้อนสำนวนไปสืบเรื่องความเสียหายเกี่ยวกับเกียรติคุณของโจทก์ ส่วนค่าเสียหายโจทก์ไม่เรียกร้องเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้และไม่เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์เกินกว่านี้ นั้น ศาลจึงไม่สมควรวินิจฉัยอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ในกรณีเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้ค่าเสียหายเกินกว่าจำนวนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดขอบเขตการสืบพยานและค่าเสียหาย: เมื่อโจทก์พอใจค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ฎีกาเพิ่มเติม
ถ้าเดิมโจทก์ฟ้องว่าหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 200,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 10,000 บาท แม้โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาให้ย้อนสำนวนไปสืบเรื่องความเสียหายเกี่ยวกับเกียรติคุณของโจทก์ ส่วนค่าเสียหายโจทก์ไม่เรียกร้องเกินกว่าที่ศาลชั้นต้กำหนดให้และไม่เสียค่าขึ้นศษลในทุนทรัพย์เกินกว่านี้ นั้น ศาลจึงไม่สมควรวินิจฉัยอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ในกรณีเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้ค่าเสียหายเกินกว่าจำนวนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611-612/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝาก การชำระหนี้ และอายุความฟ้องร้อง
1. เมื่อพิจารณาตามฟ้องและคำให้การไม่มีฝ่ายใดอ้างถึงเรื่องยืดเวลาสัญญาขายฝากซึ่งเห็นได้ว่าไม่มีเจตนาให้ไถ่ถอนการขายฝากคดีเช่นนี้ย่อมไม่มีประเด็นเรื่องยืดเวลาสัญญาขายฝาก
2. ตามหลักฐาน คนหนึ่งเป็นผู้ให้กู้ แต่มิได้เข้ามาเป็นคู่ความนั้นศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นให้กระทบกระเทือนคนนั้นหาชอบไม่
3. เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ตกลงให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินภายใน 6 เดือนนับแต่วันครบกำหนดไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์จึงไม่ผิดสัญญา
4. เมื่อโจทก์ไม่ผิดสัญญาดังกล่าว และการที่โจทก์อยู่ในที่พิพาทเพราะจำเลยยอมให้อาศัยอยู่ จึงเรียกค่าเสียหายไม่ได้
5. อนึ่ง ไม่มีข้อตกลงเรื่องให้ริบเงินที่ผ่อนชำระกันไว้ จำเลยก็ต้องคืนให้ จะริบไม่ได้
6. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 โจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยเมื่อ 22 มีนาคม 2500 ให้ไถ่การขายฝากใน 1 เดือนนับแต่วันรับหนังสือ ก็คือ ให้ไถ่ถอนภายใน 22 เมษายน 2500 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อ 22 เมษายน 2501 ก็เป็นเวลา 1 ปีพอดี ไม่ขาดอายุความ
(ข้อ 1 ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 45/2505)
2. ตามหลักฐาน คนหนึ่งเป็นผู้ให้กู้ แต่มิได้เข้ามาเป็นคู่ความนั้นศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นให้กระทบกระเทือนคนนั้นหาชอบไม่
3. เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ตกลงให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินภายใน 6 เดือนนับแต่วันครบกำหนดไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์จึงไม่ผิดสัญญา
4. เมื่อโจทก์ไม่ผิดสัญญาดังกล่าว และการที่โจทก์อยู่ในที่พิพาทเพราะจำเลยยอมให้อาศัยอยู่ จึงเรียกค่าเสียหายไม่ได้
5. อนึ่ง ไม่มีข้อตกลงเรื่องให้ริบเงินที่ผ่อนชำระกันไว้ จำเลยก็ต้องคืนให้ จะริบไม่ได้
6. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 โจทก์ได้รับหนังสือของจำเลยเมื่อ 22 มีนาคม 2500 ให้ไถ่การขายฝากใน 1 เดือนนับแต่วันรับหนังสือ ก็คือ ให้ไถ่ถอนภายใน 22 เมษายน 2500 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อ 22 เมษายน 2501 ก็เป็นเวลา 1 ปีพอดี ไม่ขาดอายุความ
(ข้อ 1 ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 45/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้และการนำสืบพยาน: โจทก์มีสิทธิหักล้างข้ออ้างจำเลย แม้มิได้แถลงรับประเด็น
(1) ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของ และฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้แต่นำสืบได้เพียงว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้างนั้น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรค 2 ยังไม่เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 ฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลย โจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87 (1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84, 85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้ จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2), (3), (4), (5) ประชุมใหญ่ครั้งที่ 44/2505)
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 ฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลย โจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87 (1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84, 85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้ จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2), (3), (4), (5) ประชุมใหญ่ครั้งที่ 44/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ การนำสืบพยาน และหน้าที่แถลงประเด็นของคู่ความ
(1) ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของและฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้ แต่นำสืบได้เพียงว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง นั้นตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสองยังไม่ได้เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คู่สัญญาและอำนาจฟ้องในสัญญากู้ การนำสืบความเป็นมาของหนี้ และการนำสืบพยานนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 5,000 บาท แล้วนำสืบว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ 1 บิดาโจทก์ที่ 2 ไป 2,800 บาท ไม่ได้ทำสัญญากัน ต่อมาขอยืมอีก โจทก์ที่ 1 ให้ถามโจทก์ที่ 2 ดู โจทก์ที่ 2 ให้ยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน 5,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเงินอีก 2,200 บาท ให้จำเลยไปแล้ว ดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาก่อน 2,800 บาท แต่ก็เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามสัญญา จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้น โจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่ 1 ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วย มีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้น โจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่ 1 ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วย มีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คู่สัญญาตามสัญญากู้ และการนำสืบความเป็นมาของหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 5,000 บาทแล้วนำสืบว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ 1 บิดาโจทก์ที่ 2 ไป 2,800 บาทไม่ได้ทำสัญญากันต่อมาขอยืมอีกโจทก์ที่ 1 ให้ถามโจทก์ที่ 2 ดูโจทก์ที่ 2 ให้ยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน 5,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเงินอีก 2,200 บาทให้จำเลยไปแล้ว ดังนี้ แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาก่อน 2,800 บาท แต่ก็เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามสัญญาจึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่1 ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วยมีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่1 ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วยมีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำคำแถลงในคดีอื่นมาประกอบการพิจารณาคดี โดยไม่ระบุในบัญชีพยาน ศาลทำได้หากเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่า เดิมจำเลยกู้เงินไปตามฟ้องจริงต่อมาโจทก์จำเลยได้เอาดอกเบี้ยกับเงินต้นที่ค้างอยู่มารวมกันทำเป็นสัญญาขึ้นใหม่ คือสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยก่อนแล้วตามสำนวนคดีอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนสัญญาฉบับเดิมโจทก์ไม่คืนให้ และกลับนำมาฟ้องคดีนี้อีก ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ระบุอ้างคำแถลงของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงในคำให้การนั้นไว้ในบัญชีพยานคดีนี้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเมื่อศาลเห็นสมควรแล้ว ศาลก็นำเอาคำแถลงนั้นมาประกอบการพิจารณาในคดีนี้และฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 86 วรรค 3 ไม่ขัดกับมาตรา 87
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำคำแถลงในคดีอื่นมาประกอบการพิจารณาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่า เดิมจำเลยกู้เงินไปตามฟ้องจริง ต่อมาโจทก์จำเลยได้เอาดอกเบี้ยกับเงินต้นที่ค้างอยู่มารวมกันทำเป็นสัญญาขึ้นใหม่ คือ สัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยก่อนแล้วตามสำนวนคดีอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนสัญญาฉบับเดิมโจทก์ไม่คืนให้และกลับนำมาฟ้องคดีนี้อีก ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ระบุอ้างคำแถลงของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงในคำให้การนั้นไว้ในบัญชีพยานคดีนี้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรแล้ว ศาลก็นำเอาคำแถลงนั้นมาประกอบการพิจารณาในคดีนี้และฟังข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรค 3 ไม่ขัดกับมาตรา 87