คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนิท อังศุสิงห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 825 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3085/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โกงเจ้าหนี้: การโอนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้ แม้ทรัพย์ที่เหลืออยู่น้อยเกินไป ก็ถือเป็นความผิด
ทรัพย์ที่ได้มีการย้าย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น หาได้มีข้อจำกัดเฉพาะทรัพย์ที่เจ้าหนี้พึงจะยึดถือหรืออายัดไว้ไม่ แต่หมายถึงทรัพย์สินใด ๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการย้าย ซ่อนเร้นหรือโอนไปเพียงเพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน และแม้ลูกหนี้จะยังมีทรัพย์อย่างอื่นเหลืออยู่ แต่ไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะอ้างเพื่อให้พ้นจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์สังหาริมทรัพย์โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้รับโอนมีสิทธิดีกว่า แม้จะมีการจดทะเบียนภายหลัง
โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้จัดการนำรถยนต์คันพิพาทออกมาจากบริษัท จ. ซึ่งเป็นบริษัทขายรถยนต์และเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทมาขายให้โจทก์ โจทก์รับมอบรถยนต์ไว้ในครอบครองและชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 2 โดยบริษัท จ.ยินยอมและไม่โต้แย้งคัดค้าน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต
โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยได้ชำระราคาและรับมอบการครอบครองโดยสุจริตแล้ว ต่อมาได้มีการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้เป็นชื่อของจำเลยที่ 3 โจทก์และจำเลยที่ 3 ต่างอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท กรณีจึงเป็นเรื่องบุคคลหลายคนต่างเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303 โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 3 และมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์สังหาริมทรัพย์: การโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้ยังมิได้จดทะเบียน
โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้จัดการนำรถยนต์คันพิพาทออกมาจากบริษัท จ. ซึ่งเป็นบริษัทขายรถยนต์และเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทมาขายให้โจทก์ โจทก์รับมอบรถยนต์ไว้ในครอบครองและชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 2 โดยบริษัท จ.ยินยอมและไม่โต้แย้งคัดค้าน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต
โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทโดยได้ชำระราคาและรับมอบการครอบครองโดยสุจริตแล้ว ต่อมาได้มีการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้เป็นชื่อของจำเลยที่ 3 โจทก์และจำเลยที่3 ต่างอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท กรณีจึงเป็นเรื่องบุคคลหลายคนต่างเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303 โจทก์ย่อมมีสิทธิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องอายุความก่อนอ้างสิทธิในที่ดิน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ 1 ได้แย่งการครอบครองของโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร กลับฎีกาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์เพราะพยานหลักฐานและเหตุผลอื่น ดังนี้ ฎีกาของโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาที่ไม่ตรงประเด็น ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคดีครอบครองที่ดิน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ 1 ได้แย่งการครอบครองของโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไรกลับฎีกาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์เพราะพยานหลักฐานและเหตุผลอื่น ดังนี้ ฎีกาของโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า: การด่าด้วยอารมณ์วู่วามไม่ถึงหมิ่นประมาท และการยินยอมให้ทำงานต่างประเทศไม่ถือละทิ้งร้าง
จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้ส่งมาจุนเจือโจทก์และครอบครัวเป็นเวลาหลายปี เมื่อกลับมาโจทก์กลับเจรจาถึงเรื่องการหย่าซึ่งจำเลยระแวงอยู่แล้วว่าโจทก์ต้องการหย่าเพื่อไปแต่งงานกับหญิงอื่น จึงด่าโจทก์ขณะพูดโทรศัพท์ว่า "อ้ายบ้าอ้ายหน้าตัวเมีย กูจะหาเรื่องให้มึงออกจากงาน กูจะไปฟ้องผู้บังคับบัญชา และจะหย่ากันก็ได้ถ้าหาเงินสดมาให้" ดังนี้ เป็นการด่าโจทก์ด้วยอารมณ์วู่วาม ขาดความยั้งคิด อันเกิดจากความผิดหวังที่จำเลยต้องยากลำบากเพื่อความสุขของครอบครัวแต่กลับถูกโจทก์หาทางทอดทิ้งจำเลยจึงหาได้มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์จริงไม่ และที่จำเลยว่าบิดาของโจทก์ว่า "อ้ายเฒ่ามึงอย่าเสือกเรื่องของกู" นั้น ก็เป็นการต่อว่ากันทางโทรศัพท์ เป็นการกล่าวด้วยอารมณ์วู่วามที่ทราบว่าบิดาโจทก์และโจทก์ได้ร่วมกันดำเนินการให้มีการจดทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบิดาโจทก์ และเป็นเพียงคำไม่สุภาพ ขาดสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทบิดาโจทก์
โจทก์ยินยอมให้จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์จึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างมาฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การด่าด้วยอารมณ์วู่วามจากการระแวง และการยินยอมให้ทำงานต่างประเทศ ไม่ถือเป็นเหตุหย่า
จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้ส่งมาจุนเจือโจทก์และครอบครัวเป็นเวลาหลายปี เมื่อกลับมาโจทก์กลับเจรจาถึงเรื่องการหย่าซึ่งจำเลยระแวงอยู่แล้วว่าโจทก์ต้องการหย่าเพื่อไปแต่งงานกับหญิงอื่นจึงด่าโจทก์ขณะพูดโทรศัพท์ว่า 'อ้ายบ้าอ้ายหน้าตัวเมีย กูจะหาเรื่องให้มึงออกจากงาน กูจะไปฟ้องผู้บังคับบัญชา และจะหย่ากันก็ได้ถ้าหาเงินสดมาให้' ดังนี้ เป็นการด่าโจทก์ด้วยอารมณ์วู่วาม ขาดความยั้งคิด อันเกิดจากความผิดหวังที่จำเลยต้องยากลำบากเพื่อความสุขของครอบครัวแต่กลับถูกโจทก์หาทางทอดทิ้งจำเลยจึงหาได้มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์จริงไม่ และที่จำเลยว่าบิดาของโจทก์ว่า'อ้ายเฒ่ามึงอย่าเสือกเรื่องของกู' นั้น ก็เป็นการต่อว่ากันทางโทรศัพท์ เป็นการกล่าวด้วยอารมณ์วู่วามที่ทราบว่าบิดาโจทก์และโจทก์ได้ร่วมกันดำเนินการให้มีการจดทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบิดาโจทก์ และเป็นเพียงคำไม่สุภาพ ขาดสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทบิดาโจทก์
โจทก์ยินยอมให้จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ จึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างมาฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขรายงานการประชุมสภาเทศบาลโดยมิชอบ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อ เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม
จำเลยเป็นปลัดเทศบาลและเป็นเลขานุการสภาเทศบาล จำเลยไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสภาเทศบาลจึงแต่งตั้งให้ ส.รองปลัดเทศบาลทำหน้าที่เลขานุการสภาเทศบาลแทนจำเลย จำเลยได้ใช้ให้แก้ไขรายงานการประชุมที่ ส. ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ เพื่อจะให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อว่าสภาเทศบาลมีมติตามที่จำเลยได้แก้ไข โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบด้วยมาตรา 84 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 161 อีกบทหนึ่ง เมื่อจำเลยนำเอกสารปลอมนั้นไปอ้างในการขออนุมัติต่อผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยในฐานะเลขานุการสภาเทศบาลเป็นผู้มีหน้าที่ทำรายงานการประชุมของสภาเทศบาล จำเลยทำรายงานการประชุมขึ้นตามอำนาจหน้าที่ของตนและลงลายมือชื่อตัวเองเป็นผู้ทำ มิได้ทำในนามของบุคคลอื่น เอกสารนั้นจึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยทำขึ้น แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง ก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 แต่เป็นการทำเอกสารอันเป็นความเท็จตามมาตรา 162 เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษตามมาตรา 162 จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คำว่า "เพื่อ" ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ การที่จำเลยแก้ไขมติของสภาเทศบาลในรายงานการประชุมโดยไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล หากเป็นการกระทำไปเพราะความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ, ทำเอกสารเท็จ, และเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
จำเลยเป็นปลัดเทศบาลและเป็นเลขานุการสภาเทศบาล จำเลยไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสภาเทศบาลจึงแต่งตั้งให้ ส.รองปลัดเทศบาลทำหน้าที่เลขานุการสภาเทศบาลแทนจำเลยจำเลยได้ใช้ให้แก้ไขรายงานการประชุมที่ ส. ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ เพื่อจะให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อว่าสภาเทศบาลมีมติตามที่จำเลยได้แก้ไข โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265ประกอบด้วยมาตรา 84 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 161 อีกบทหนึ่งเมื่อจำเลยนำเอกสารปลอมนั้นไปอ้างในการขออนุมัติต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยในฐานะเลขานุการสภาเทศบาลเป็นผู้มีหน้าที่ทำรายงานการประชุมของสภาเทศบาล จำเลยทำรายงานการประชุมขึ้นตามอำนาจหน้าที่ของตนและลงลายมือชื่อตัวเองเป็นผู้ทำ มิได้ทำในนามของบุคคลอื่น เอกสารนั้นจึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยทำขึ้นแม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง ก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 แต่เป็นการทำเอกสารอันเป็นความเท็จตามมาตรา 162 เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษตามมาตรา 162 จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คำว่า 'เพื่อ' ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ การที่จำเลยแก้ไขมติของสภาเทศบาลในรายงานการประชุมโดยไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล หากเป็นการกระทำไปเพราะความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขาย ศาลมีอำนาจลดจำนวนลงได้หากสูงเกินส่วน โดยคำนึงถึงความเสียหายที่แท้จริง
แม้จะได้มีการกำหนดค่าปรับไว้ในสัญญาก็ตาม แต่เงินค่าปรับตามที่คู่กรณีกำหนดกันไว้นั้น ถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับเพื่อการที่จะชดใช้บรรเทาความเสียหายอันอาจจะมีหรือเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383 วรรคแรก ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ซึ่งแสดงว่าเบี้ยปรับนั้นแม้จะได้กำหนดกันไว้ในสัญญา แต่ก็มิได้บังคับไว้โดยเด็ดขาดว่าจะต้องให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่าง ไม่ใช่แต่ทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินเท่านั้น ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้
of 83