พบผลลัพธ์ทั้งหมด 825 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิสัปบุรุษมัสยิดในการป้องกันผลประโยชน์และการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
สัปบุรุษของมัสยิดเป็นผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของมัสยิดที่ตนสังกัดอยู่ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่มัสยิด ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นสัปบุรุษของมัสยิดแสดงความคิดเห็นหรือร้องเรียนให้ข่าวต่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ถ้าผู้แสดงความคิดเห็นกระทำไปโดยสุจริต แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ตนเข้าใจแล้ว ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้จำเลยหาจำต้องนำสืบว่าการกระทำของตนเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษ เพราะในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตแล้ว ศาลก็ยกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจำเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ถ้าผู้แสดงความคิดเห็นกระทำไปโดยสุจริต แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ตนเข้าใจแล้ว ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้จำเลยหาจำต้องนำสืบว่าการกระทำของตนเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษ เพราะในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตแล้ว ศาลก็ยกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิสัปบุรุษมัสยิดในการปกป้องผลประโยชน์ของมัสยิดและการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329
สัปบุรุษของมัสยิดเป็นผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของมัสยิดที่ตนสังกัดอยู่ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่มัสยิด ดังนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นสัปบุรุษของมัสยิดแสดงความคิดเห็นหรือร้องเรียนให้ข่าวต่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ถ้าผู้แสดงความคิดเห็นกระทำไปโดยสุจริต แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ตนเข้าใจแล้ว ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้จำเลยหาจำต้องนำสืบว่าการกระทำของตนเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษ เพราะในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตแล้ว ศาลก็ยกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจำเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ถ้าผู้แสดงความคิดเห็นกระทำไปโดยสุจริต แม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ตนเข้าใจแล้ว ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้จำเลยหาจำต้องนำสืบว่าการกระทำของตนเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษ เพราะในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตแล้ว ศาลก็ยกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารรับรู้สิทธิในที่ดินต่อหน้าพยาน ถือเป็นหลักฐานได้ แม้ไม่มีอากรแสตมป์
เอกสารที่ ส. ภรรยาจำเลยทำให้วัดโจทก์ยึดถือไว้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ทำต่อหน้าเจ้าอาวาสและกรรมการหลายคน มีลายพิมพ์นิ้วมือ ส. และลายเซ็นชื่อของทุกคนกรรมการ 3 คนเบิกความว่า ส. พิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าตนและทั้ง 3 คนเซ็นชื่อไว้ด้วย จึงฟังได้ว่าทั้ง 3 คน มีฐานะเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของ ส. ด้วย
เอกสารมีใจความว่า ส. ขอเช่าที่พิพาทต่อไป หากโจทก์ต้องการใช้ที่ดินเมื่อใดก็ยินดีจะคืนให้ ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเช่า และไม่ได้ตกลงจะให้ค่าเช่าจึงไม่ใช่สัญญาเช่า แต่เป็นหนังสือที่ ส. รับรู้สิทธิของโจทก์ในที่พิพาท ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
เอกสารมีใจความว่า ส. ขอเช่าที่พิพาทต่อไป หากโจทก์ต้องการใช้ที่ดินเมื่อใดก็ยินดีจะคืนให้ ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเช่า และไม่ได้ตกลงจะให้ค่าเช่าจึงไม่ใช่สัญญาเช่า แต่เป็นหนังสือที่ ส. รับรู้สิทธิของโจทก์ในที่พิพาท ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีขัดทรัพย์: ผู้ร้องอ้างทรัพย์เป็นของตนต้องพิสูจน์ให้ได้
คำร้องขอในการร้องขัดทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เป็นเสมือนคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลตาม มาตรา 1(3) ผู้ร้องจึงมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์มีฐานะเสมือนเป็นจำเลย เมื่อผู้ร้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของตน แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณแก่ผู้ร้องแล้ว ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้สมข้อกล่าวอ้างของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดหักค่าใช้จ่ายเงินได้ออกจากงาน และประเภทเงินได้จากการประกอบโรคศิลปะ/ธุรกิจ
การคิดหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ วรรคสาม บัญญัติว่าจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดระเบียบโดยวิธีแยกเงินได้ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวออกเป็นสองประเภทตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่องกำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ฯ จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว เพราะวิธีคำนวณหรือจ่ายเงินได้ไม่เหมือนกัน
เงินได้ของโจทก์ที่ได้รับจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ฯ เป็นรายเดือนอันเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำในการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นพนักงานและลูกจ้าง ณ สถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ฯ นั้นเป็นเงินได้ที่เข้าลักษณะเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือการรับทำงานให้ ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (2) จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่ให้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคหนึ่ง (ความในวรรคนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2526)
เงินได้จากคลีนิคซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรับรักษาผู้ป่วยแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระ การประกอบโรคศิลปะ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(6) หาใช่เป็นเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ ตามมาตรา 40(8) ไม่
เงินได้ของโจทก์ที่ได้รับจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ฯ เป็นรายเดือนอันเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำในการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นพนักงานและลูกจ้าง ณ สถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ฯ นั้นเป็นเงินได้ที่เข้าลักษณะเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือการรับทำงานให้ ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (2) จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่ให้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคหนึ่ง (ความในวรรคนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2526)
เงินได้จากคลีนิคซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรับรักษาผู้ป่วยแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระ การประกอบโรคศิลปะ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(6) หาใช่เป็นเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ ตามมาตรา 40(8) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดหักค่าใช้จ่ายเงินได้พึงประเมินจากหน้าที่/ตำแหน่งงาน, วิชาชีพอิสระ, และเงินที่จ่ายให้เมื่อออกจากงาน
การคิดหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้นประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ วรรคสาม บัญญัติว่าจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดระเบียบโดยวิธีแยกเงินได้ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวออกเป็นสองประเภท ตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่องกำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2)แห่งประมวลรัษฎากรฯ จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว เพราะวิธีคำนวณหรือจ่ายเงินได้ไม่เหมือนกัน
เงินได้ของโจทก์ที่ได้รับจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นรายเดือน อันเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำในการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นพนักงานและลูกจ้าง ณ สถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯนั้น เป็นเงินได้ที่เข้าลักษณะเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือการรับทำงานให้ ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(2) จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่ให้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิวรรคหนึ่ง (ความในวรรคนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2526)
เงินได้จากคลีนิคซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรับรักษาผู้ป่วยแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระการประกอบโรคศิลปะ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(6) หาใช่เป็นเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ ตามมาตรา 40(8) ไม่
เงินได้ของโจทก์ที่ได้รับจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นรายเดือน อันเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำในการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นพนักงานและลูกจ้าง ณ สถานพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯนั้น เป็นเงินได้ที่เข้าลักษณะเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือการรับทำงานให้ ไม่ว่าหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(2) จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่ให้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิวรรคหนึ่ง (ความในวรรคนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2526)
เงินได้จากคลีนิคซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและดำเนินการรับรักษาผู้ป่วยแต่เพียงผู้เดียว ถือเป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระการประกอบโรคศิลปะ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(6) หาใช่เป็นเงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ ตามมาตรา 40(8) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟ้องแย้งในคดีขับไล่: พิจารณาสัญญาต่างตอบแทนและเงื่อนไขฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า. จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยตกแต่งซ่อมแซมบ้านใหม่ทั้งหมดแล้วจะให้จำเลยเช่าต่อหลังจากหมดสัญญาอีก 3 ปี จึงมีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยอีก 3 ปีนั้น เมื่อเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้วก็ต้องรับไว้เสียก่อน ส่วนข้ออ้างของจำเลยจะแพ้หรือชนะเป็นข้อวินิจฉัยภายหลังรับฟ้องแย้งแล้ว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 303/2504)
ส่วนฟ้องแย้งที่ว่า หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน จำเลยก็ขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงห้องเช่านั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา
ส่วนฟ้องแย้งที่ว่า หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน จำเลยก็ขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงห้องเช่านั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟ้องแย้งในคดีขับไล่: พิจารณาลำดับก่อนหลังและเงื่อนไขของฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยตกแต่งซ่อมแซมบ้านใหม่ทั้งหมดแล้วจะให้จำเลยเช่าต่อหลังจากหมดสัญญาอีก 3 ปี จึงมีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยอีก 3 ปีนั้น เมื่อเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้วก็ต้องรับไว้เสียก่อน ส่วนข้ออ้างของจำเลยจะแพ้หรือชนะเป็นข้อวินิจฉัยภายหลังรับฟ้องแย้งแล้ว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 303/2504)
ส่วนฟ้องแย้งที่ว่า หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน จำเลยก็ขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงห้องเช่านั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา
ส่วนฟ้องแย้งที่ว่า หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน จำเลยก็ขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงห้องเช่านั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข กล่าวคือจะถือเป็นฟ้องแย้งต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังข่มขู่ และหลอกลวงเหยื่อด้วยอุบาย ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
โจทก์ร่วมยอมไปโรงแรมกับจำเลยที่ 2 เพราะหลงกลอุบายหลอกลวงว่าสามีโจทก์ร่วมนอกใจ ให้ไปจับผิดสามี แล้วจำเลยที่ 1 สามีจำเลยที่ 2 ได้เข้ามาช่วยกันถอดเสื้อผ้า และจำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนบังคับขู่เข็ญ ขณะจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 ก็ถ่ายภาพไว้ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมโดยมีและใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276 วรรคสอง,83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ได้จากการสอบสวนโดยสมัครใจมีน้ำหนัก แม้เป็นพยานบอกเล่าแต่เป็นผลร้ายต่อตนเอง
ตำรวจจับจำเลยที่ 2 ข้อหาฆ่า และจับจำเลยที่ 1 ในข้อหาจ้างวานใช้จำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุนั้นเอง การสอบสวนทำในวันเดียวกับวันจับกุม พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพโดยสมัครใจแม้จะเป็นพยานบอกเล่าแต่เป็นคำรับที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง ย่อมมีน้ำหนักแก่การรับฟังได้