พบผลลัพธ์ทั้งหมด 825 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่รับรอง และความรับผิดของบิดามารดาต่อการละเมิดของบุตรผู้เยาว์
ทะเบียนบ้านของจำเลยที่โจทก์อ้างเป็นพยานเอกสารนั้น เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่ต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) อย่างไรก็ดีการไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้เสียไป ถ้าหากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารเช่นว่านี้เป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2)
โจทก์อ้างทะเบียนบ้านของจำเลยซึ่งเป็นสำเนา ไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้วจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยก็มีอยู่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเช่นนี้ได้
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเศษ กับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1ผู้เยาว์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย
โจทก์อ้างทะเบียนบ้านของจำเลยซึ่งเป็นสำเนา ไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้วจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยก็มีอยู่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเช่นนี้ได้
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเศษ กับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1ผู้เยาว์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่รับรอง และความรับผิดของบิดามารดาต่อการละเมิดของบุตร
ทะเบียนบ้านของจำเลยที่โจทก์อ้างเป็นพยานเอกสารนั้น เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่ต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) อย่างไรก็ดี การไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้เสียไป ถ้าหากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารเช่นว่านี้เป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
โจทก์อ้างทะเบียนบ้านของจำเลยซึ่งเป็นสำเนา ไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้ว จำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยก็มีอยู่ สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเช่นนี้ได้
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเศษ กับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย
โจทก์อ้างทะเบียนบ้านของจำเลยซึ่งเป็นสำเนา ไม่มีเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องถิ่นรับรอง ปรากฏว่าเอกสารนี้เป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายมาจากต้นฉบับซึ่งทนายโจทก์ได้เซ็นชื่อรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้องแล้ว จำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างว่าเอกสารนี้มีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับแต่อย่างใด หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง สำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยก็มีอยู่ สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ศาลจึงรับฟังสำเนาเอกสารเช่นนี้ได้
การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเศษ กับยอมให้จำเลยที่ 1 ซื้อรถมาขับขี่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับขนสินค้า, ส่วนได้เสีย, ข้อจำกัดความรับผิด, การรับช่วงสิทธิ, คำให้การปฏิเสธ
คำให้การของจำเลยที่ว่า "จำเลยไม่ทราบและไม่ขอรับรอง" เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้อง
บริษัท ด. และบริษัท อ. ร่วมทุนกันดำเนินธุรกิจขนส่งทางทะเล ใช้ชื่อทางการค้าว่าสายเดินเรือเมอสก์ และเรือซึ่งบรรทุกสินค้ารายนี้เป็นของสายเดินเรือเมอสก์ บริษัททั้งสองซึ่งร่วมทุนกันดังกล่าวจึงเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ และถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสองนั้นเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ด้วย
การที่บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ต่อ อินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ออฟไชน่า ถือได้ว่า บริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกันไว้นั้น
ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้ของผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อข้อจำกัดความรับผิดนั้นไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่งเสียแล้ว ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
บริษัท ด. และบริษัท อ. ร่วมทุนกันดำเนินธุรกิจขนส่งทางทะเล ใช้ชื่อทางการค้าว่าสายเดินเรือเมอสก์ และเรือซึ่งบรรทุกสินค้ารายนี้เป็นของสายเดินเรือเมอสก์ บริษัททั้งสองซึ่งร่วมทุนกันดังกล่าวจึงเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ และถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสองนั้นเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ด้วย
การที่บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ต่อ อินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ออฟไชน่า ถือได้ว่า บริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกันไว้นั้น
ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้ของผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อข้อจำกัดความรับผิดนั้นไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่งเสียแล้ว ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3940/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิดในการซื้อขายเช่าซื้อ: การผูกพันบริษัทจำเลยจากการชำระเงินผ่านตัวแทน
การที่บริษัทจำเลยให้ ธ.เป็นผู้จัดการเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ทำกับบริษัทจำเลย เช่นเมื่อบริษัทจำเลยส่งสัญญาเช่าซื้อและเอกสารบางอย่างไปที่ร้านของ ธ.แล้ว ธ.นำไปให้โจทก์ลงชื่อในฐานะผู้เช่าซื้อ และส่งกลับไปให้บริษัทจำเลยจนสำเร็จเป็นสัญญาเช่าซื้อ ตลอดจนเมื่อโจทก์ชำระเงินค่าทะเบียนรถยนต์พิพาทให้บริษัทจำเลยบริษัทจำเลยก็ได้ส่งทะเบียนรถไปให้โจทก์โดยผ่าน ธ.และในการชำระเงินค่าเช่าซื้อ ธ.ก็เป็นผู้รับจากโจทก์แล้วเป็นผู้จัดส่งไปให้บริษัทจำเลย ครั้งสุดท้ายเมื่อโจทก์แจ้งให้บริษัทจำเลยทราบว่า โจทก์ได้ชำระเงินให้กับ ธ.ครบถ้วนแล้วขอให้บริษัทจำเลยโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ บริษัทจำเลยก็แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะจัดการปัญหาระหว่างโจทก์กับ ธ.ซึ่งต่อมาบริษัทจำเลยก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่า ธ.รับเงินค่างวดครั้งสุดท้ายไว้จากโจทก์จริงและบริษัทจำเลยได้ให้ ธ.ส่งให้แก่บริษัทจำเลยแล้วพฤติการณ์ที่ ธ.กับบริษัทจำเลยปฏิบัติต่อกันดังกล่าวมาย่อมถือได้ว่า ธ.เป็นตัวแทนเชิดของบริษัทจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3940/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิดในสัญญาเช่าซื้อ: การผูกพันจำเลยจากการชำระเงินผ่านตัวแทน
การที่บริษัทจำเลยให้ ธ.เป็นผู้จัดการเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ทำกับบริษัทจำเลย เช่นเมื่อบริษัทจำเลยส่งสัญญาเช่าซื้อและเอกสารบางอย่างไปที่ร้านของ ธ.แล้วธ.นำไปให้โจทก์ลงชื่อในฐานะผู้เช่าซื้อ และส่งกลับไปให้บริษัทจำเลยจนสำเร็จเป็นสัญญาเช่าซื้อ ตลอดจนเมื่อโจทก์ชำระเงินค่าทะเบียนรถยนต์พิพาทให้บริษัทจำเลยบริษัทจำเลยก็ได้ส่งทะเบียนรถไปให้โจทก์โดยผ่าน ธ.และในการชำระเงินค่าเช่าซื้อธ.ก็เป็นผู้รับจากโจทก์แล้วเป็นผู้จัดส่งไปให้บริษัทจำเลย ครั้งสุดท้ายเมื่อโจทก์แจ้งให้บริษัทจำเลยทราบว่า โจทก์ได้ชำระเงินให้กับ ธ.ครบถ้วนแล้วขอให้บริษัทจำเลยโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ บริษัทจำเลยก็แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะจัดการปัญหาระหว่างโจทก์กับ ธ.ซึ่งต่อมาบริษัทจำเลยก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่า ธ.รับเงินค่างวดครั้งสุดท้ายไว้จากโจทก์จริงและบริษัทจำเลยได้ให้ ธ.ส่งให้แก่บริษัทจำเลยแล้วพฤติการณ์ที่ ธ.กับบริษัทจำเลยปฏิบัติต่อกันดังกล่าวมาย่อมถือได้ว่า ธ.เป็นตัวแทนเชิดของบริษัทจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำความผิด
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 4,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุก 3 ปีศาลอุทธรณ์ลงโทษตาม มาตรา 297(8) จำคุก 2 ปีให้รอการลงโทษจำคุก 5 ปี เป็นการแก้บทลงโทษและกำหนดโทษแม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลทั้งสองรอการลงโทษจำคุกถือไม่ได้ว่าศาลทั้งสองได้พิพากษา ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
จำเลยเมาสุราได้ยิงปืนนัดแรกที่ห้องพักนัดที่สองยิงขึ้นฟ้าแล้วลดปืนลงกระสุนปืนนัดที่สามก็ลั่นถูกผู้เสียหายที่เอวเมื่อเป็นปืนลูกโม่ที่การยิงจะต้องเหนี่ยวไกทีละนัดกระสุนปืนนัดที่สามจึงลั่นเพราะเจตนาจะยิงแต่เป็นขณะเมาสุราไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนไม่มีเหตุเพียงพอจะคิดฆ่าทั้งมิได้จ้องยิงตามปกติและในขณะอยู่ห่างกัน 2 เมตร ผู้เสียหายต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 30 วันจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิใช่เป็นความผิดตามมาตรา 300
จำเลยเมาสุราได้ยิงปืนนัดแรกที่ห้องพักนัดที่สองยิงขึ้นฟ้าแล้วลดปืนลงกระสุนปืนนัดที่สามก็ลั่นถูกผู้เสียหายที่เอวเมื่อเป็นปืนลูกโม่ที่การยิงจะต้องเหนี่ยวไกทีละนัดกระสุนปืนนัดที่สามจึงลั่นเพราะเจตนาจะยิงแต่เป็นขณะเมาสุราไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนไม่มีเหตุเพียงพอจะคิดฆ่าทั้งมิได้จ้องยิงตามปกติและในขณะอยู่ห่างกัน 2 เมตร ผู้เสียหายต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 30 วันจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิใช่เป็นความผิดตามมาตรา 300
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่เป็นนิติกรรมอำพราง ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เจ้าของทรัพย์มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
การให้เช่าซื้อเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในธุรกิจการค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดแม้โจทก์จะไม่มีสินค้าของตนเอง ก็อาจนำเอาสินค้ามาให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อได้.โดยทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้าให้มีผลบังคับกันได้ในเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์แล้วมิใช่ว่าเมื่อไม่มีสินค้าของตนเองแล้วจะประกอบธุรกิจการค้าประเภทนี้ไม่ได้
จำเลยยอมสนองรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งตนรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆรวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและให้พึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญา ดังนี้สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้หาใช่นิติกรรมอำพรางการกู้เงินไม่
ในเรื่องการเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อประพฤติผิดสัญญาเจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ บรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574และเมื่อได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมของตนที่เป็นอยู่แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งสิทธิในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 391
สัญญาเช่าซื้อกำหนดผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนเริ่มงวดแรกภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2521 งวดต่อไปภายในวันที่ 22 ของทุก ๆ เดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญานับแต่งวดที่ 5 ซึ่งครบกำหนดชำระในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้ตั้งแต่วันที่มีการผิดนัดเป็นต้นมา เมื่อจำเลยยังคงครอบครองและใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์นั้นมาโดยตลอด ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ชอบที่จะเรียกค่าที่จำเลยได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองทรัพย์ ถือตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2522 เป็นต้นมาตามมาตรา 391 วรรคสาม
จำเลยยอมสนองรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งตนรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆรวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและให้พึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญา ดังนี้สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้หาใช่นิติกรรมอำพรางการกู้เงินไม่
ในเรื่องการเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อประพฤติผิดสัญญาเจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ บรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574และเมื่อได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมของตนที่เป็นอยู่แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งสิทธิในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 391
สัญญาเช่าซื้อกำหนดผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนเริ่มงวดแรกภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2521 งวดต่อไปภายในวันที่ 22 ของทุก ๆ เดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญานับแต่งวดที่ 5 ซึ่งครบกำหนดชำระในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้ตั้งแต่วันที่มีการผิดนัดเป็นต้นมา เมื่อจำเลยยังคงครอบครองและใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์นั้นมาโดยตลอด ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ชอบที่จะเรียกค่าที่จำเลยได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองทรัพย์ ถือตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2522 เป็นต้นมาตามมาตรา 391 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่เป็นนิติกรรมอำพราง ผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เจ้าของทรัพย์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหาย
การให้เช่าซื้อเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในธุรกิจการค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดแม้โจทก์จะไม่มีสินค้าของตนเอง ก็อาจนำเอาสินค้ามาให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อได้.โดยทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้าให้มีผลบังคับกันได้ในเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์แล้วมิใช่ว่าเมื่อไม่มีสินค้าของตนเองแล้วจะประกอบธุรกิจการค้าประเภทนี้ไม่ได้
จำเลยยอมสนองรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งตนรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ รวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและให้พึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญา ดังนี้สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้หาใช่นิติกรรมอำพรางการกู้เงินไม่
ในเรื่องการเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อประพฤติผิดสัญญาเจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ บรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 และเมื่อได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมของตนที่เป็นอยู่แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งสิทธิในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 391
สัญญาเช่าซื้อกำหนดผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนเริ่มงวดแรกภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2521 งวดต่อไปภายในวันที่ 22 ของทุก ๆ เดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญานับแต่งวดที่ 5 ซึ่งครบกำหนดชำระในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้ตั้งแต่วันที่มีการผิดนัดเป็นต้นมา เมื่อจำเลยยังคงครอบครองและใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์นั้นมาโดยตลอด ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ชอบที่จะเรียกค่าที่จำเลยได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองทรัพย์ ถือตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2522 เป็นต้นมาตามมาตรา 391 วรรคสาม
จำเลยยอมสนองรับข้อเสนอของโจทก์ในอันที่จะผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งตนรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ รวมทั้งการชำระหนี้อันเป็นผลโดยตรงที่คู่กรณียอมรับนับถือและให้พึงใช้บังคับต่อกันตามข้อสัญญา ดังนี้สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ใช้บังคับแก่คู่กรณีได้หาใช่นิติกรรมอำพรางการกู้เงินไม่
ในเรื่องการเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อประพฤติผิดสัญญาเจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ บรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 และเมื่อได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมของตนที่เป็นอยู่แต่ไม่มีผลกระทบกระทั่งสิทธิในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายแก่กันดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 391
สัญญาเช่าซื้อกำหนดผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนเริ่มงวดแรกภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2521 งวดต่อไปภายในวันที่ 22 ของทุก ๆ เดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญานับแต่งวดที่ 5 ซึ่งครบกำหนดชำระในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้ตั้งแต่วันที่มีการผิดนัดเป็นต้นมา เมื่อจำเลยยังคงครอบครองและใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์นั้นมาโดยตลอด ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ชอบที่จะเรียกค่าที่จำเลยได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองทรัพย์ ถือตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2522 เป็นต้นมาตามมาตรา 391 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายและมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสองกรรม แม้ผู้ซื้อเป็นสายลับ
จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวนหนึ่งได้จำหน่ายไปแล้วส่วนหนึ่ง ยังคงเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม คือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานที่ไปล่อซื้อ แม้สายลับไปซื้อเพื่อแสวงหาหลักฐานในการจับกุมจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะจำหน่ายเฮโรอีนอยู่ก่อนแล้ว
จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานที่ไปล่อซื้อ แม้สายลับไปซื้อเพื่อแสวงหาหลักฐานในการจับกุมจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะจำหน่ายเฮโรอีนอยู่ก่อนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสองกรรม แม้ผู้ซื้อเป็นสายลับ
จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวนหนึ่งได้จำหน่ายไปแล้วส่วนหนึ่ง ยังคงเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม คือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานที่ไปล่อซื้อ แม้สายลับไปซื้อเพื่อแสวงหาหลักฐานในการจับกุมจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะจำหน่ายเฮโรอีนอยู่ก่อนแล้ว
จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานที่ไปล่อซื้อ แม้สายลับไปซื้อเพื่อแสวงหาหลักฐานในการจับกุมจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะจำหน่ายเฮโรอีนอยู่ก่อนแล้ว