พบผลลัพธ์ทั้งหมด 825 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและการแจ้งความล่าช้า ชวนสงสัยเจตนาฟ้องข่มขืน
ความสัมพันธ์ของผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมในลักษณะของคนที่รักกันระหว่างไปทำงานที่โรงสีข้าวจำเลยเข้าไปในห้องพักข่มขืนกระทำชำเราต่างวันและเวลากันถึง 2 ครั้งผู้เสียหายก็มิได้เอะอะหรือแพร่งพรายให้ผู้ใดทราบ แม้แต่มารดาของตนซึ่งไปทำงานแห่งเดียวกันเพิ่งบอกเมื่อออกจากงานและกลับถึงบ้านแล้วหลายวันบิดามารดาผู้เสียหายเรียกจำเลยไปสอบถามทำนองบังคับให้ยอมรับผู้เสียหายเป็นภรรยาเมื่อจำเลยไม่ยอมทำตาม จึงกล่าวหาดำเนินคดีแก่จำเลยดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2236/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้มีดแทงผู้อื่น แม้แทงครั้งเดียว ศาลฎีกาวินิจฉัยถึงเจตนาและอาวุธร้ายแรง
จำเลยใช้มีดปลายแหลมแบบชายธงยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ10 นิ้วแทงผู้เสียหาย 1 ที ที่บริเวณหน้าท้องด้านซ้าย ปากแผลกว้าง 3 เซนติเมตร เปลวไขมันไหล เลือดตกในประมาณ 500 ซี.ซี. ลำไส้เล็กถลอก พังผืดในช่องท้องมีเลือดซึมตลอดเวลา ต้องรักษาพยาบาลด้วยการผ่าตัดผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส มีดที่จำเลยใช้นับว่าเป็นอาวุธที่ใหญ่และร้ายแรงอาจทำลายชีวิตได้ และจำเลยเสือกมีดแทงขณะเข้าเผชิญหน้าโถมตัวเข้ามุ่งประทุษร้ายด้วยอาวุธสู่อวัยวะสำคัญ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย แม้จะแทงเพียงครั้งเดียวขณะมีการวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2236/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้มีดแทงในขณะวิวาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า
จำเลยใช้มีดปลายแหลมแบบชายธงยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ10 นิ้ว แทงผู้เสียหาย 1 ที ที่บริเวณหน้าท้องด้านซ้าย ปากแผลกว้าง 3 เซนติเมตร เปลวไขมันไหล เลือดตกในประมาณ 500 ซี.ซี. ลำไส้เล็กถลอก พังผืดในช่องท้องมีเลือดซึมตลอดเวลา ต้องรักษาพยาบาลด้วยการผ่าตัด ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส มีดที่จำเลยใช้นับว่าเป็นอาวุธที่ใหญ่และร้ายแรงอาจทำลายชีวิตได้และจำเลยเสือกมีดแทงขณะเข้าเผชิญหน้าโถมตัวเข้ามุ่งประทุษร้ายด้วย อาวุธสู่อวัยวะสำคัญ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย แม้จะแทงเพียงครั้งเดียวขณะมีการวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1947/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: การบรรยายลักษณะข้อหาและคำขอในฟ้องแพ่งเพียงพอหรือไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีที่ดินสองโฉนด คือโฉนดเลขที่2695 และ 2696 อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 2716ของจำเลยเฉพาะที่ดินโฉนดที่ 2695 มีต้นตาลปลูกอยู่บนคันนาของโจทก์เป็นแนวเขตจำเลยได้บุกรุกเข้ามาตัดต้นตาลของโจทก์ 5 ต้น ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหายดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้วโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดกรณีพิพาทในฟ้องดังเช่นการบรรยายฟ้องในคดีอาญาแต่อย่างใดฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะโอนเมื่อชำระราคาครบถ้วน ผู้รับโอนสิทธิย่อมผูกพันตามสัญญาเดิม
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงกันว่ากรรมสิทธิ์ในยานยนต์จะตกไปอยู่แก่ผู้ซื้อก็ต่อเมื่อผู้ซื้อได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิตามสัญญาจากผู้ซื้อเดิมมาอีกทอดหนึ่ง ก็ต้องผูกพันตามสัญญานี้ด้วย เมื่อขณะจำเลยกระทำผิดหรือขณะที่ ศาลพิพากษาคดีผู้ร้องยังชำระราคาไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางจึงยังไม่โอนมาเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องเพิ่งชำระราคางวดสุดท้ายใน ภายหลังนั้น จึงไม่มีอำนาจร้องขอคืนของกลางได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความค่าเสียหายจากละเมิด: เริ่มนับแต่วันรู้การละเมิดและตัวผู้รับผิด แม้ไม่ทราบที่อยู่ก็เริ่มนับได้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่การละเมิดมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
เมื่อโจทก์ทราบว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยในวันเกิดเหตุแล้ว แม้จะยังไม่ทราบที่อยู่ของจำเลยก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แล้ว
เมื่อโจทก์ทราบว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยในวันเกิดเหตุแล้ว แม้จะยังไม่ทราบที่อยู่ของจำเลยก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับแต่วันรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิด แม้ไม่ทราบที่อยู่ก็เริ่มนับได้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่การละเมิดมีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 เมื่อโจทก์ทราบว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยในวันเกิดเหตุแล้ว แม้จะยังไม่ทราบ ที่อยู่ของจำเลยก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานหักล้างเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย และการเลิกสัญญาเนื่องจากผิดสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายมีใจความว่า จำเลยผู้จะซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ผู้จะขายในราคา 430,000 บาท โดยกำหนดเวลาชำระเงินเป็น 3 งวด งวดที่ 1 ชำระในวันที่ 31 มกราคม 2522 เป็นเงิน120,000 บาท งวดที่ 2 ชำระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นเงิน110,000 บาท งวดที่ 3 ชำระในวันโอนเป็นเงิน 200,000 บาท และในข้อ 2 แห่ง สัญญานี้ได้ระบุว่า ในการจะซื้อจะขายนี้ผู้จะซื้อได้วาง มัดจำให้ผู้จะขายไว้แล้วเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้จะขายได้รับเงินมัดจำไว้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าเงิน120,000 บาท ที่ระบุในสัญญานี้ความจริงไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดแต่ได้จ่ายเป็นเช็คและเช็คดังกล่าวภายหลังโจทก์ก็ได้คืนให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสาร ไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสด จำนวน200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็น การนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เอง ศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสด จำนวน200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็น การนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เอง ศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่ออธิบาย/หักล้างเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย และสิทธิในการเลิกสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายมีใจความว่า จำเลยผู้จะซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ผู้จะขายในราคา 430,000 บาท โดยกำหนดเวลาชำระเงินเป็น 3 งวด งวดที่ 1 ชำระในวันที่ 31 มกราคม 2522 เป็นเงิน 120,000 บาท งวดที่ 2 ชำระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นเงิน 110,000 บาท งวดที่ 3 ชำระในวันโอนเป็นเงิน 200,000 บาท และในข้อ 2 แห่ง สัญญานี้ได้ระบุว่า ในการจะซื้อจะขายนี้ผู้จะซื้อได้วาง มัดจำให้ผู้จะขายไว้แล้วเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้จะขายได้รับเงินมัดจำไว้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าเงิน 120,000 บาท ที่ระบุในสัญญานี้ความจริงไม่ได้ จ่ายเป็นเงินสดแต่ได้จ่ายเป็นเช็ค และเช็คดังกล่าวภายหลังโจทก์ก็ได้คืนให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบ ได้เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสาร ไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสดจำนวน 200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน 20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เองศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง อย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสดจำนวน 200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน 20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เองศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง อย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1625/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: ความรับผิดชอบหลังการช่วยเหลือผู้กระทำผิด
อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธประจำตัวของพลตำรวจ ธ. ที่จะนำติดตัวไปได้โดยชอบ การที่จำเลยสะพายปืนดังกล่าวซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่พลตำรวจ ธ. เป็นผู้ขับไปด้วยกัน น่าจะเป็นไปเพื่อความสะดวกต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ จำเลยเป็นเพียงถือไว้แทนเท่านั้น การครอบครองอาวุธปืน ยังคงอยู่กับพลตำรวจ ธ. ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมกับการมีอาวุธปืนอันจะเป็นความผิดในช่วงนี้ แต่มีข้อเท็จจริงต่อมาว่า หลังจากเกิดเหตุไปกรรโชกผู้เสียหาย แล้ว ระหว่างจำเลยและพลตำรวจ ธ. หลบหนีจำเลยได้รับฝากอาวุธปืนของกลางซุกซ่อนไว้ในบ้านของตนจนเจ้าพนักงานติดตามยึดคืนมาได้ พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยในตอนหลัง ถือได้ว่าจำเลยมามีส่วนกับการครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว โดยไม่ชอบ อันเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต