พบผลลัพธ์ทั้งหมด 825 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้ามประเด็นข้อต่อสู้ ห้ามการรับฟังพยานหลักฐาน และการย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินกู้ 45,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีเพียงว่ากู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง15,000 บาทชำระแล้ว 5,000 บาท คงค้างอยู่อีก 10,000 บาท สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าตนเป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระงับไปโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย อันเป็นการห้ามการนำสืบและการรับฟัง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจหยิบยกเอาปัญหาในประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2948/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, อำนาจฟ้อง, การผิดนัดชำระหนี้: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นความสมบูรณ์ของฟ้อง, อำนาจมอบอำนาจ, และการเกิดผิดนัดจากการปฏิเสธการจ่ายเช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องมีความตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 สอดเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการของห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใจความเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจและเห็นได้ชัดว่ามีความหมายถึงจำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์เช่นนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2948/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, อำนาจฟ้อง, การผิดนัดชำระหนี้: การพิจารณาความสมบูรณ์ของฟ้องและการเกิดผลของการผิดนัด
โจทก์บรรยายฟ้องมีความตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 สอดเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการของห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใจความเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจและเห็นได้ชัดว่ามีความหมายถึงจำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์เช่นนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2917/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่สมบูรณ์ แม้ไม่กรอกรายละเอียดครบถ้วน หากมีเจตนาทำสัญญาและมอบให้แก่เจ้าหนี้
จำเลยเป็นคนเขียนกรอกข้อความในสัญญากู้เองอ่านแล้วได้ความว่าจำเลยได้กู้เงินไป 50,000 บาท แล้วลงลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้กู้ เป็นสัญญากู้เงินที่สมบูรณ์ แม้จำเลยจะมิได้กรอกข้อความในช่องว่างที่ว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยก็มอบสัญญานี้แก่โจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้กู้เงินของโจทก์ไปและทำหลักฐานการกู้ไว้ให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริต แม้ทราบการซื้อขายแล้ว หากมีเหตุเชื่อว่ามีการฉ้อฉล ไม่เป็นละเมิด
แม้จำเลยที่ 2 รู้ว่า พ. ขายทรัพย์พิพาทให้โจทก์แล้ว แต่เมื่อมีเหตุผลให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า พ. สมคบกับโจทก์ฉ้อฉลจำเลยการที่จำเลยนำยึดทรัพย์พิพาทในการบังคับคดีจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันไม่จำกัดจำนวนเงิน ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ถือว่าถูกต้องและใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ตราสารค้ำประกันตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ข้อ 17 บัญญัติว่า "(ก) สำหรับกรณีมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ข) สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน 1,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ค) สำหรับจำนวนเงินเกิน 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท (ง) สำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาทขึ้นไป ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท"
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้องรับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัด จำนวนเงินไว้คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ในข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้ว
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้องรับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัด จำนวนเงินไว้คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ในข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันไม่จำกัดจำนวนเงิน: อากรแสตมป์ 1 บาท เพียงพอและใช้เป็นหลักฐานได้
ตราสารค้ำประกันตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ข้อ 17บัญญัติว่า "(ก)สำหรับกรณีมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ข) สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน 1,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ค) สำหรับจำนวนเงินเกิน 1,000 บาทแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท (ง) สำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาท ขึ้นไป ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท"
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้น นั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้ จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้จึงให้เสีย ค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อม จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์ หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยาก ขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข)(ค)และ(ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้อง รับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้อง รับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใด ๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า(จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ใน ข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกัน ดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตาม กฎหมายแล้ว
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้น นั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้ จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้จึงให้เสีย ค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อม จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์ หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยาก ขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข)(ค)และ(ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้อง รับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้อง รับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใด ๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า(จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ใน ข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกัน ดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตาม กฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณาคดี: การใช้สิทธิไม่ถูกต้องทำให้เสียสิทธิในการขอพิจารณาคดีใหม่
ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จำเลยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัด จำเลยอาจขอให้ศาลมีการพิจารณาคดีใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 แต่จำเลยไม่ได้ใช้สิทธิเช่นนั้น กลับใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาโดยตรง จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาเบิกความเท็จ: ศาลอุทธรณ์สั่งให้วินิจฉัยความเท็จ แต่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตาม
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยเบิกความมิใช่ข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญแต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยว่าข้อความเหล่านั้นมีมูลเป็นความเท็จหรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กลับหมายเรียกจำเลยแก้คดีมิได้ประทับฟ้อง แล้วสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นด้วย คำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับที่ 2 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับที่ 2 คำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาเบิกความเท็จ: ศาลอุทธรณ์สั่งให้วินิจฉัยความเท็จ แต่ศาลชั้นต้นกลับสืบพยาน ทำให้กระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยเบิกความมิใช่ข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญแต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยว่าข้อความเหล่านั้นมีมูลเป็นความเท็จหรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กลับหมายเรียกจำเลยแก้คดีโดยมิได้ประทับฟ้องแล้วสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับที่ 2 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับที่ 2ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับที่ 2 คำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรก