พบผลลัพธ์ทั้งหมด 857 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินตะกาดห่างทะเล ไม่ใช่สาธารณสมบัติ แม้ถูกน้ำทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราว การครอบครองไม่ถือเป็นการสละ
ที่ดินตะกาดห่างชายทะเล 3 เส้น มีที่ดินของผู้อื่นคั่น ในฤดูหนาวน้ำทะเลไหลเข้ามาทางคลองและล้นตลิ่งท่วมที่ดิน ไม่ใช่ที่ดินที่น้ำทะเลท่วมถึงหรือที่ชายฝั่งทะเล ไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ครอบครองอยู่ไม่ได้แจ้งการครอบครอง ไม่ถือว่าสละการครอบครอง เทศบาลเข้าไปอ้างว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596-2597/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินโดยปริยายเป็นทางสาธารณะ และสิทธิของเจ้าของที่ดินเมื่อมีการใช้ประโยชน์ในคลองสาธารณะ
แม้ถนนจะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่การที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร กับยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว โดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลอง และจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลอง และจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596-2597/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินโดยปริยายเป็นทางสาธารณะ และสิทธิการใช้ประโยชน์ในสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
แม้ถนนจะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่การที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร กับยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว โดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลองและจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลองและจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2095/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินหวงห้าม: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการแทนกองทัพบก
ที่พิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองลพบุรี อำเภอบ้านเช่า อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. 2479 ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติให้เป็นอำนาจของผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลพบุรีที่จะหวงห้ามที่ดินได้ เมื่อพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวออกตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 และต่อมาพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 4 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินเสียแล้ว พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปด้วย ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลพบุรีโดยลำพังจึงหมดอำนาจหวงห้ามที่ดิน แต่ที่พิพาทก็ยังคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินฯ
ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามมาตรา 8 ประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กองทัพบกมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองลพบุรี อำเภอบ้านเช่าฯ พ.ศ. 2479 อำนาจดูแลรักษาที่ดินซึ่งอยู่ในเขตตามพระราชกฤษฎีกานี้จึงตกเป็นของกองทัพบก การที่โจทก์ขอออกโฉนดที่พิพาทและจำเลยคัดค้าน โดยกองทัพบกมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้กระทำการแทน จำเลยจึงอยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติการแทนของกองทัพบกซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เพื่อห้ามจำเลยขัดขวางการออกโฉนดที่พิพาท
ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามมาตรา 8 ประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กองทัพบกมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองลพบุรี อำเภอบ้านเช่าฯ พ.ศ. 2479 อำนาจดูแลรักษาที่ดินซึ่งอยู่ในเขตตามพระราชกฤษฎีกานี้จึงตกเป็นของกองทัพบก การที่โจทก์ขอออกโฉนดที่พิพาทและจำเลยคัดค้าน โดยกองทัพบกมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้กระทำการแทน จำเลยจึงอยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติการแทนของกองทัพบกซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เพื่อห้ามจำเลยขัดขวางการออกโฉนดที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป่าช้าสาธารณะ: สิทธิครอบครองและการเข้ายึดถือโดยพลการ
ป่าช้าซึ่งประชาชนเคยใช้ประโยชน์ในการเผาและฝังศพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จะยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนของทางการไว้และหมดสภาพเป็นป่าช้าเพราะโจทก์เข้าครอบครองประชาชนจึงไม่ได้ใช้มาหลายปีก็ตาม ตราบใดที่ทางราชการยังไม่ได้ถอนสภาพก็ยังเป็นป่าช้าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่นั่นเอง การที่โจทก์เข้ายึดถือโดยพลการไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ: สิทธิครอบครองของผู้ได้รับอนุญาตจากนิคมฯ เหนือกว่าการครอบครองโดยมิชอบ
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้องตำบลวงฆ้องตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ.2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 นั้นที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14-15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ – สิทธิครอบครอง – การจัดสรรนิคม – การครอบครองก่อนกฎหมายหวงห้าม
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้อง ตำบลวงฆ้อง ตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญํติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นั้น ที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14 - 15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: สิทธิครอบครองของผู้บุกรุก vs. การครอบครองของโรงเรียน
เมื่อ พ.ศ.2496 ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจับจองที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพื่อกิจการของโรงเรียนแล้ว และยังได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยมีศึกษาธิการอำเภอรับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนครั้น พ.ศ.2498 ครูใหญ่ก็ได้แจ้ง ส.ค.1 ที่พิพาทไว้ในฐานะแทนโรงเรียน ดังนี้แม้โรงเรียนประชาบาลดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคลแต่เป็นโรงเรียนที่นายอำเภอตั้งขึ้นจึงเป็นส่วนราชการของรัฐและพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการแล้วที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ.2496 เป็นต้นมา โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ศ.2496 จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การได้มาของที่ดินโดยโรงเรียนและโอนไปยัง อบจ. ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง
เมื่อ พ.ศ. 2496 ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจับจองที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพื่อกิจการของโรงเรียนแล้ว และยังได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยมีศึกษาธิการอำเภอรับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียน ครั้น พ.ศ. 2498 ครูใหญ่ก็ได้แจ้ง ส.ค.1 ที่พิพาทไว้ในฐานะแทนโรงเรียน ดังนี้แม้โรงเรียนประชาบาลดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคล แต่เป็นโรงเรียนที่นายอำเภอตั้งขึ้น จึงเป็นส่วนราชการของรัฐ และพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการแล้ว ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ. 2496 เป็นต้นมา โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ศ. 2496 จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคล ที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคล ที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนองน้ำสาธารณสมบัติ เจ้าพนักงานเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้
หนองน้ำที่ประชาชนใช้น้ำเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกบางส่วนทับหนองนี้ เจ้าพนักงานเพิกถอนได้ทั้งฉบับ
คดีพิพาทว่าที่ดินเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยมีคำสั่งเพิกถอนได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์
คดีพิพาทว่าที่ดินเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยมีคำสั่งเพิกถอนได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์