พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,118 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินว่างเปล่า ไม่ถือเป็นเจ้าของสิทธิเหนือที่ดิน แม้เคยเลี้ยงสัตว์
เพียงแต่เคยเอาโคกระบือกมาเลี้ยงในที่ว่างเปล่าเท่านั้น จะเถียงสิทธิกับผู้ที่ได้รับใบเหยียบย่ำในที่นั้นมาโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละกรรมสิทธิในที่ดินจากการทำสัญญาขายฝากและครอบครองปรปักษ์เป็นเวลานาน
การที่โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่บ้านสวนและที่นาแก่ฝ่ายจำเลย ซึ่งมีข้อความว่า ภายใน 3 เดือน ถ้าไม่ไถ่ให้ถือเอาเป็นกรรมสิทธิ ซึ่งฝ่ายจำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทมากกว่า 20 ปี แล้ว ดังนี้ ถือว่าโจทก์สละกรรมสิทธิที่พิพาทตกเป็นของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการทำสัญญาขายฝากและครอบครองปรปักษ์เป็นระยะเวลานาน
การที่โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่บ้านสวนและที่นาแก่ฝ่ายจำเลยซึ่งมีข้อความว่าภายใน 3 เดือน ถ้าไม่ไถ่ให้ถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งฝ่ายจำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทมากว่า 20 ปีแล้ว ดังนี้ ถือว่าโจทก์สละกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตกเป็นของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองโรงเรียนราษฎร์: สันนิษฐานจากเอกสารและฐานะผู้จัดการ
ผู้ที่มีชื่อในเอกสารร้องขอเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนราษฎร์ซึ่งทางการอนุญาตแล้วนั้น สันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครองโรงเรียนนั้น จึงยอมถูกเจ้าของสถานที่ที่ตั้งโรงเรียนฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองโรงเรียนราษฎร์: สันนิษฐานจากเอกสารการจัดการและอนุญาต
ผู้ที่มีชื่อในเอกสารร้องขอเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนราษฎร์ซึ่งทางการอนุญาตแล้วนั้น สันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครองโรงเรียนนั้นจึงย่อมถูกเจ้าของสถานที่ที่ตั้งโรงเรียนฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ซื้อที่ดินในการฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่เดิม และเรียกค่าเสียหายจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในที่ดิน
ผู้ซื้อที่ดินฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินนั้นได้ แม้สัญญาซื้อขายจะเกิดจากการกลฉ้อฉลหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับผู้อาศัย และหากผู้อาศัยทำให้เสียหายในที่ดินที่ได้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อย่อมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้อาศัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ซื้อที่ดินในการฟ้องขับไล่ผู้อาศัยเดิม และเรียกค่าเสียหายจากความเสียหายในที่ดิน
ผู้ซื้อที่ดินฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินนั้นได้แม้สัญญาซื้อขายจะเกิดจากการกลฉ้อฉลหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับผู้อาศัย และหากผู้อาศัยทำให้เสียหายในที่ดินที่ได้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อย่อมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้อาศัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ หากมีการส่งมอบที่ดินและเจตนาสละสิทธิแล้ว ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์
สัญญาซื้อขายที่นาไม่มีหนังสือสำคัญ ซึ่งทำกันเอง และมีข้อความในสัญญาว่า ซื้อขายกันเด็ดขาด และผู้ขายได้รับเงินไปเสร็จแล้ว ผู้ขายสัญญาจะไปทำหนังสือซื้อขายต่อเจ้าพนักงานให้เมื่อเปิดทำการ และผู้ขายได้มอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ต้องถือว่า ทำสัญญาซื้อขายกันเด็ดขาด ผู้ขายสละสิทธิส่งมอบที่ดินโอนความเป็นเจ้าของแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อและผู้ครอบครองต่อมาย่อมได้สิทธิเป็นเจ้าของ(อ้างฎีกาที่ 649/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือ สละสิทธิมอบครองเกิน 10 ปี ถือเป็นการโอนกรรมสิทธิ
สัญญาซื้อขายที่นาไม่มีหนังสือสำคัญ ซึ่งทำกันเอง และมีข้อความในสัญญาว่า ซื้อขายกันเด็ดขาด และผู้ขายได้รับเงินไปเสร็จแล้ว ผู้ขายสัญญาจะไปทำหนังสือซื้อขายต่อเจ้าพนักงานให้เมื่อเปิดทำการและผู้ขายได้มอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ต้องถือว่า ทำสัญญาซื้อขายกันเด็ดขาด ผู้ขายสละสิทธิส่งมอบที่ดินโอนความเป็นเจ้าของแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อและผู้ครอบครองต่อมาย่อมได้สิทธิเป็นเจ้าของ
(อ้างฎีกาที่ 649/2492)
(อ้างฎีกาที่ 649/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์จากสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์ ศาลพิจารณาเจตนาคู่กรณีและพฤติการณ์เจ้าของเดิม
ที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาโจทก์ ได้เอามาขายฝากโดยทำสัญญากันเองไว้แก่บิดามารดาจำเลย บิดามารดาจำเลยตายแล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเกิน 10 ปีแล้ว และเมื่อบิดามารดาโจทก์ตาย โจทก์ก็มิได้จัดการจดทะเบียนรับมฤดก ปล่อยให้ฝ่ายจำเลยครอบครองมาเกิน 10 ปี จนจำเลยได้มาร้องต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิว่าเป็นของจำเลย ศาลก็ได้สั่งแสดงกรรมสิทธิไปแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้นิติกรรมการขายฝากไม่สมบูรณ์ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่า บิดามารดาโจทก์มอบที่ดินให้บิดามารดาจำเลยดังเช่นขาย แต่สงวนไว้เพียงสิทธิไถ่ถอน ฉะนั้นจะเรียกว่าบิดามารดาจำเลยยึดถือที่ดินไว้ในฐานผู้แทนผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 ป.ม.แพ่งยังไม่ได้ กรณีเช่นนี้เรียกได้ว่า บิดามารดาจำเลยเข้าครอบครองเพื่อตนโดยอาศัยการอนุญาตของเจ้าของ จึงมีปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาว่าฝ่ายจำเลยได้ครอบครองมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาจนเกิน 10 ปีหรือไม่ การที่จะแสวงหาความจริงข้อนี้ ต้องพิเคราะห์กิริยาอาการของฝ่ายโจทก์ผู้มอบที่ดินให้นั้นด้วย เพราะถ้าเจ้าของเดิมไม่แสดงอาการเป็นเจ้าของเกี่ยวข้องกับที่นั้นเลย สละละทิ้งไปจนเกินเวลาอันสมควรแล้ว ก็พึงเห็นเจตนาของคู่กรณีได้ว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมให้ฝ่ายครอบครอบทำการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเพื่อผู้ครอบครองนั้นเองตั้งแต่ต้นมาทั้งนี้ได้เคยมีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่าทำสัญญากันเองเป็นทำนองขายฝากนั้นเจ้าของเดิมจะมาฟ้องเอาที่คืนโดยอ้างข้อสัญญาที่ให้ไถ่นั้นหาได้ไม่ (ฎีกาที่ 5/2465, 352/2492) สำหรับคดีนี้โจทก์จะชนะคดีได้ก็ด้วยการแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าตามข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แต่คดีนี้โจทก์อ้างว่าโจทก์ยังคงแสดงสิทธิเป็เจ้าของอยู่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานเสียนั้นยังไม่สมควร จึงต้องพิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นดำเนินพิจารณา