พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่อเนื่องจากองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การริบยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด
การจะพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน ต้องพิจารณาถึงเจตนาในการกระทำความผิดเป็นสำคัญว่า มีเจตนาเดียวกันหรือไม่ประกอบด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และในความผิดฐานร่วมกันนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องกันโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันเพื่อช่วยเหลือนำพาคนต่างด้าวทั้ง 17 คน ให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และการที่จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันนำและพาคนต่างด้าวทั้ง 17 คน เข้ามาในราชอาณาจักรย่อมเป็นความผิดสำเร็จอยู่ในตัวเมื่อนำหรือพาคนต่างด้าวทั้ง 17 คน เข้ามาในราชอาณาจักร แต่เมื่อจำเลยทั้งห้ากับพวกรู้ว่าคนต่างด้าวดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวทั้ง 17 คน พ้นจากการจับกุมจึงเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถแยกการกระทำต่างหากจากกันได้ ทั้งจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยทั้งห้ากับพวกที่หลบหนีร่วมกันกระทำความผิดเป็นขบวนการองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยทั้งห้าว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้รถกระบะของกลางนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และช่วยเหลือคนต่างด้าวเดินทางข้ามหลายจังหวัด การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงมิได้ใช้รถของกลางอย่างยานพาหนะโดยสารทั่วไป แต่เป็นการใช้รถกระบะของกลางกระทำความผิดโดยตรง ตามวัตถุประสงค์ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง ศาลมีอำนาจริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
จำเลยทั้งห้ากับพวกที่หลบหนีร่วมกันกระทำความผิดเป็นขบวนการองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยทั้งห้าว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้รถกระบะของกลางนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และช่วยเหลือคนต่างด้าวเดินทางข้ามหลายจังหวัด การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงมิได้ใช้รถของกลางอย่างยานพาหนะโดยสารทั่วไป แต่เป็นการใช้รถกระบะของกลางกระทำความผิดโดยตรง ตามวัตถุประสงค์ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง ศาลมีอำนาจริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอาญาคดีทุจริตฯ: การเสนอประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเมื่อมีข้อพิพาทเรื่องอำนาจ
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 11 บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือไม่ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือศาลยุติธรรมอื่น ให้ศาลนั้นรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวแล้วเสนอปัญหานั้นให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัย คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด" จากหลักกฎหมายดังกล่าวเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว แล้วเสนอปัญหานี้ให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเสียก่อน การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์โดยไม่เสนอปัญหาให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5500/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาปฏิบัติการร่วมกันข่มขืนโดยใช้อาวุธ: จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนโดยใช้อาวุธ แม้ไม่ได้เป็นผู้ถืออาวุธเอง
จำเลยบอกให้ บ. ไปเรียกผู้เสียหายกับ พ. มาที่ห้องเช่าซึ่งจำเลยเข้าไปนอนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อถึงห้องเช่า บ. กระชากตัว พ. เข้าไปในห้องแล้วหยิบไม้หน้าสามขึ้นมาถือขู่ ขณะเดียวกันจำเลยจับคอผู้เสียหายกระชากตัวไปยังที่นอนก่อนที่จะลงมือข่มขืนกระทำชำเรา พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยกับ บ. มีเจตนาร่วมกันที่จะกระทำความผิดต่อผู้เสียหายและ พ. มาตั้งแต่แรก ห้องที่เกิดเหตุเป็นห้องโล่งขนาดเล็กมีเพียงที่นอนปูไว้ที่พื้น ส่วนไม้หน้าสามมีขนาดใหญ่เท่าท่อนแขนของคนอ้วน เมื่อ บ. กระชากตัว พ. เข้าไปในห้องแล้วก็หยิบไม้หน้าสามขึ้นมาขู่ทันที แสดงว่าไม้หน้าสามวางอยู่ในห้องก่อนแล้ว จำเลยเข้าไปนอนรอในห้องที่แคบเช่นนั้น ย่อมเห็นหรือรู้ถึงการมีอยู่ของไม้หน้าสาม หลังจาก บ. หยิบไม้หน้าสามมาขู่ จำเลยก็เริ่มข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดย บ. ถือไม้หน้าสามคอยคุ้มกันอยู่ตลอด เพื่อมิให้ พ. เข้ามาขัดขวางการกระทำความผิดของจำเลย ทั้งเมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราเสร็จ บ. กับจำเลยก็หลบหนีออกจากห้องที่เกิดเหตุไปพร้อมกัน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้อาวุธ