พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,275 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5762/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายสัมพันธ์กับคำฟ้องเดิม การพิจารณาความเสียหายต้องพิจารณาจากหน้าที่ชอบหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์และลงโทษโจทก์โดยมิชอบเพราะโจทก์มิได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจำเลยให้การว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยจำเลยจึงตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์แล้วลงโทษโจทก์เป็นการปฏิบัติโดยชอบและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของโจทก์การพิจารณาว่าจำเลยได้รับความเสียหายตามฟ้องแย้งหรือไม่จำนวนเท่าใดย่อมเป็นผลมาจากการวินิจฉัยประเด็นตามคำฟ้องเดิมที่ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ชอบหรือไม่ถือว่าฟ้องแย้งเป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5483/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์: การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาล
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ ย่อมแปลได้ว่าถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ แต่ถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยเข้าเกณฑ์ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไป ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังกล่าวจึงคลอบคลุมไปถึงปัญหาที่ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5483/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ศาลชี้ว่าการกำหนดประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นไปอย่างชอบธรรม แต่จำเลยพิสูจน์ไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ย่อมแปลได้ว่าถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้กรรมสิทธิ์โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่แต่ถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยเข้าเกณฑ์ได้กรรมสิทธิ์โจทก์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังกล่าวจึงคลอบคลุมไปถึงปัญหาที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5457/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นทรัพย์เป็นของใคร และขอบเขตการอุทธรณ์
ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ใด แต่ปรากฏว่าตามคำร้องได้ระบุไว้แล้วว่าเป็นของผู้ร้องกับส.ที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ไม่เป็นความจริง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
ในประเด็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องกับ ส. เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของผู้ร้องกับ ส.โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นอีก และพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าให้ที่ดินแปลงใดหรือให้ที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่กำหนดให้ก็มิได้ระะบุว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอะไร บ้านเลขที่เท่าใด ตั้งอยู่ที่ไหน ข้อความที่ตกเติมในพินัยกรรมก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้ จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งผู้ร้องยังไม่ได้มีการจัดการมรดก โจทก์จึงนำยึดมาชำระหนี้ได้ ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินและบ้านพิพาทมีราคารวมกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
การโต้เถียงว่าศาลวินิจฉัยคดีนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินอีก 20 ไร่ ก็เป็นการยกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมอันอยู่ในประเด็นพิพาทว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นไม่
ในประเด็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องกับ ส. เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของผู้ร้องกับ ส.โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นอีก และพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าให้ที่ดินแปลงใดหรือให้ที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่กำหนดให้ก็มิได้ระะบุว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอะไร บ้านเลขที่เท่าใด ตั้งอยู่ที่ไหน ข้อความที่ตกเติมในพินัยกรรมก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้ จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งผู้ร้องยังไม่ได้มีการจัดการมรดก โจทก์จึงนำยึดมาชำระหนี้ได้ ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินและบ้านพิพาทมีราคารวมกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
การโต้เถียงว่าศาลวินิจฉัยคดีนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินอีก 20 ไร่ ก็เป็นการยกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมอันอยู่ในประเด็นพิพาทว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5457/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์มรดกโดยโจทก์หลังผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้อื่น ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ใดแต่ปรากฏว่าตามคำร้องได้ระบุไว้แล้วว่าเป็นของผู้ร้องกับส.ที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ไม่เป็นความจริงจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ในประเด็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องกับส. เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของผู้ร้องกับส.โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นอีกและพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าให้ที่ดินแปลงใดหรือให้ที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่กำหนดให้ก็มิได้ระบุว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอะไรบ้านเลขที่เท่าใดตั้งอยู่ที่ไหนข้อความที่ตกเติมในพินัยกรรมก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์เมื่อผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งผู้ร้องยังไม่ได้มีการจัดการมรดกโจทก์จึงนำยึดมาชำระหนี้ได้ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อที่ดินและบ้านพิพาทมีราคารวมกันไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง การโต้เถียงว่าศาลวินิจฉัยคดีนอกประเด็นหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินอีก20ไร่ก็เป็นการยกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมอันอยู่ในประเด็นพิพาทว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5353/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันในหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ และผลกระทบของการต่อสู้เรื่องอายุความ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ซึ่งมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 9 จะไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ และจำเลยอื่นมิได้ยื่นคำร้องให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวก็ได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้และคำร้องขอชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 และที่ 7ด้วย โดยถือการดำเนินกระบวนพิจารณาของคู่ความร่วมคนหนึ่งเมื่อกระทำไปแล้วย่อมถือว่าได้กระทำแทนคู่ความอื่นร่วมด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5353/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการวินิจฉัยอายุความของจำเลยร่วม และการใช้ข้อกฎหมายแทนกันในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันละเมิดต่อโจทก์ขอให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่4ที่8และที่9จะไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้และจำเลยอื่นมิได้ยื่นคำร้องให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวก็ได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้และคำร้องขอชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่3และที่7ด้วยโดยถือการดำเนินกระบวนพิจารณาของคู่ความร่วมคนหนึ่งเมื่อกระทำไปแล้วย่อมถือว่าได้กระทำแทนคู่ความอื่นร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา59(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5327/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิยึดถือ มิใช่คดีชำระบัญชี แต่เป็นการใช้สิทธิติดตามทรัพย์สิน
การที่จำเลยให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด1ปีนับแต่ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้นเป็นการให้การต่อสู้แจ้งชัดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1272จำเลยมิได้ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องคดีละเมิดตามมาตรา448คดีจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา448ซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทโจทก์ทำบัญชีงบดุลโดยนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวโดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์ซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินและเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบันและอนุมัติการจ่ายเงินนั้นและขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวนั้นมิใช่กรณีที่บริษัทเมื่อบริษัทโจทก์ได้เลิกกันและมีการชำระบัญชีเสร็จแล้วผู้เป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นลูกหนี้อยู่ฐานเช่นนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1272จึงไม่อาจนำอายุความตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้การฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนอันเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามมาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้โจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาทราบเท่าที่จำเลยยังมิได้คืนเงินให้โจทก์คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5327/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคืนทรัพย์สินจากการยักยอกเงินบริษัท ไม่ใช่หนี้สินจากการชำระบัญชี
การที่จำเลยให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้นเป็นการให้การต่อสู้แจ้งชัดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา1272 จำเลยมิได้ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องคดีละเมิดตามมาตรา 448 คดีจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา448 ซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทโจทก์ทำบัญชีงบดุล โดยนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวโดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์ ซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินและเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการ รายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นิติบุคคลซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบันและอนุมัติการจ่ายเงินนั้น และขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวนั้นมิใช่กรณีที่เมื่อบริษัทโจทก์ได้เลิกกันและมีการชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นลูกหนี้อยู่ฐานเช่นนั้น ดังที่บัญยัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1272 จึงไม่อาจนำอายุความตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน อันเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามมาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้ โจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้คืนเงินให้โจทก์ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 มีจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2526 ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12816/2526 มีคำสั่งให้เลิกบริษัทโจทก์โดยตั้งจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชี และต่อมาศาลชั้นต้นดังกล่าวมีคำสั่งตั้งนายจงศักดิ์ หน่อชูเวช เป็นผู้ชำระบัญชีร่วมกับจำเลยแต่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนจำเลยจากการเป็นผู้ชำระบัญชี จึงเหลือนายจงศักดิ์เป็นผู้ชำระบัญชีเพียงผู้เดียวและการชำระบัญชียังไม่ถึงที่สุด จากการตรวจสอบบัญชีของโจทก์นายจงศักดิ์พบว่าจำเลยทำบัญชีงบดุลของโจทก์ในปี 2524 โดยนำเงินสดของโจทก์ไปใช้รวม 1,234,188.28 บาท โดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่าย และเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการกล่าวคือ ค่าขุดบ่อน้ำบาดาล 270,000 บาท ค่าสำรวจไร่กับค่าหญ้า 833,146บาท ค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2523 จำนวน 71,397.28 บาท และค่าใช้จ่ายในเดือนมกราคม 2526 อีก 59,645 บาท ค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์ เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทโจทก์ และที่ประชุมก่อตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบัน หรืออนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว เงินจำนวนนี้เป็นของโจทก์แต่จำเลยนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วลงในบัญชีของโจทก์เป็นรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้ โจทก์ขอให้จำเลยทำการแก้ไขบัญชีของโจทก์ให้ถูกต้องและทวงถามให้จำเลยนำเงินมาคืนให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,234,188.28 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่นายจงศักดิ์ หน่อชูเวช ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน401,042.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่า จำเลยได้นำเงินของโจทก์ไปใช้จ่ายเป็นค่าสำรวจไร่และค่าหญ้าซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์รวมเป็นเงิน 833,146 บาท จริง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนค่าขุดบ่อน้ำบาดาลและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวม 25 รายการเป็นเงิน 401,042.28 บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยนำเงินของโจทก์ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้โจทก์และผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหายจึงมิใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นลูกหนี้อันจะต้องตกอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1272 แต่เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องนำอายุความในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาใช้บังคับนั้น เห็นว่า การที่จำเลยให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่นายจงศักดิ์ หน่อชูเวช ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้น เป็นการให้การต่อสู้แจ้งชัดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 จำเลยมิได้ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องคดีละเมิดตามมาตรา 448 คดีจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448 หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นยกเอาอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ดี ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทโจทก์ทำบัญชีงบดุลปี 2524 โดยนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวโดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์ ซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินและเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการ รายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบันและอนุมัติการจ่ายเงินนั้น และขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวนั้น มิใช่กรณีที่เมื่อบริษัทโจทก์ได้เลิกกัน และมีการชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1272 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่อาจนำอายุความตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนอันเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้ โจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้คืนเงินให้โจทก์ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทโจทก์ทำบัญชีงบดุล โดยนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวโดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์ ซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินและเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการ รายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นิติบุคคลซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบันและอนุมัติการจ่ายเงินนั้น และขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวนั้นมิใช่กรณีที่เมื่อบริษัทโจทก์ได้เลิกกันและมีการชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นลูกหนี้อยู่ฐานเช่นนั้น ดังที่บัญยัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา 1272 จึงไม่อาจนำอายุความตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน อันเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามมาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้ โจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้คืนเงินให้โจทก์ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 มีจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2526 ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12816/2526 มีคำสั่งให้เลิกบริษัทโจทก์โดยตั้งจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชี และต่อมาศาลชั้นต้นดังกล่าวมีคำสั่งตั้งนายจงศักดิ์ หน่อชูเวช เป็นผู้ชำระบัญชีร่วมกับจำเลยแต่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนจำเลยจากการเป็นผู้ชำระบัญชี จึงเหลือนายจงศักดิ์เป็นผู้ชำระบัญชีเพียงผู้เดียวและการชำระบัญชียังไม่ถึงที่สุด จากการตรวจสอบบัญชีของโจทก์นายจงศักดิ์พบว่าจำเลยทำบัญชีงบดุลของโจทก์ในปี 2524 โดยนำเงินสดของโจทก์ไปใช้รวม 1,234,188.28 บาท โดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่าย และเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการกล่าวคือ ค่าขุดบ่อน้ำบาดาล 270,000 บาท ค่าสำรวจไร่กับค่าหญ้า 833,146บาท ค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2523 จำนวน 71,397.28 บาท และค่าใช้จ่ายในเดือนมกราคม 2526 อีก 59,645 บาท ค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์ เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทโจทก์ และที่ประชุมก่อตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบัน หรืออนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว เงินจำนวนนี้เป็นของโจทก์แต่จำเลยนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วลงในบัญชีของโจทก์เป็นรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้ โจทก์ขอให้จำเลยทำการแก้ไขบัญชีของโจทก์ให้ถูกต้องและทวงถามให้จำเลยนำเงินมาคืนให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,234,188.28 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่นายจงศักดิ์ หน่อชูเวช ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน401,042.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่า จำเลยได้นำเงินของโจทก์ไปใช้จ่ายเป็นค่าสำรวจไร่และค่าหญ้าซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์รวมเป็นเงิน 833,146 บาท จริง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนค่าขุดบ่อน้ำบาดาลและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวม 25 รายการเป็นเงิน 401,042.28 บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยนำเงินของโจทก์ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้โจทก์และผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหายจึงมิใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นลูกหนี้อันจะต้องตกอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1272 แต่เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องนำอายุความในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาใช้บังคับนั้น เห็นว่า การที่จำเลยให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่นายจงศักดิ์ หน่อชูเวช ผู้ชำระบัญชีของโจทก์ชำระบัญชีเสร็จสิ้น เป็นการให้การต่อสู้แจ้งชัดว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 จำเลยมิได้ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องคดีละเมิดตามมาตรา 448 คดีจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 448 หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นยกเอาอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้มาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ดี ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทโจทก์ทำบัญชีงบดุลปี 2524 โดยนำเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัวโดยลงรายการเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์ ซึ่งไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินและเป็นรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายรายการ รายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในกิจการของโจทก์และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทไม่ได้ให้สัตยาบันและอนุมัติการจ่ายเงินนั้น และขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวนั้น มิใช่กรณีที่เมื่อบริษัทโจทก์ได้เลิกกัน และมีการชำระบัญชีเสร็จแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1272 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่อาจนำอายุความตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนอันเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากจำเลยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิเช่นนี้ โจทก์เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จำเลยยังมิได้คืนเงินให้โจทก์ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5174/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายโมฆะเนื่องจากเจตนาไม่ผูกพันและเงินมัดจำไม่ถึงมือจำเลย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วจำเลยไม่เห็นด้วยจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้ออ้างของจำเลยขาดเหตุผลยกคำร้องคำร้องดังกล่าวเท่ากับเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพื่อการใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226(2)แล้วหาจำต้องโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้ยกคำร้องในครั้งหลังอีกไม่ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาจะซื้อขายจำเลยให้การต่อสู้ว่าลายมือชื่อจำเลยในสัญญาเป็นลายมือชื่อปลอมจำเลยไม่ได้รับเงินมัดจำจากโจทก์จำเลยไม่ได้มีเจตนาทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์สัญญาดังกล่าวเป็นการกระทำโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญาโจทก์กับพวกร่วมกันฉ้อฉลจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และปฎิเสธความสมบูรณ์ของสัญญาด้วยว่าไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์จำเลยคำให้การจึงหาได้ขัดแย้งกันไม่