พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,275 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินงอกริมตลิ่ง: โจทก์ครอบครองแทนเจ้าของเดิม มิได้ครอบครองเพื่อได้กรรมสิทธิ์
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า สภาพของที่พิพาทผิดกับตัวบทกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น เพราะระหว่างที่ดินแปลงเดิมกับที่พิพาทมีทางกั้นไม่ติดต่อกันนั้น เป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 และโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 จึงเป็นเจ้าของที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 และมีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ขาดอำนาจฟ้อง: คดีพิพาทที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
แม้ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์จะกล่าวอ้างเพียงว่า จำเลยทั้งสองไปคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ระบุว่าเป็นที่ดินที่มีหลักฐานแสดงถึงสิทธิการครอบครองแปลงใดก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามส.ค.1 เลขที่ 180 โจทก์ก็ไม่ปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่นแต่กลับแถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงอื่นจึงขัดกับข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับในคดี และโจทก์จะฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่นไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522 ซึ่งวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายยิ้ม จึงเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มที่ผูกพันโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 บุตรของนายมิ้มซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 ชั้นผู้สืบสันดาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629 ผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2ออกจากที่ดินพิพาทไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนจำเลยที่ 1ต่อสู้คดีโดยอ้างว่า เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2จึงเป็นคำให้การที่อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลคำนวณจากจำนวนข้อหา, การร้องเรียนต่อผู้ว่าจ้างชอบธรรม, เบิกความไม่เป็นเท็จ ไม่เป็นการละเมิด
ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. เรื่อง ค่าขึ้นศาล ไม่ได้บัญญัติว่าคดีหนึ่งเสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นในการพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ ดังนี้ การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกัน
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง เป็นการเสนอข้อหาต่อศาล 2 ข้อหาและแยกออกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ และตามสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 ได้ แต่โจทก์ไม่ได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 สิทธิตามสัญญาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปนั้นเมื่อเป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลล่างจะต้องวินิจฉัยและประเด็นดังกล่าวไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การที่โจทก์อ้างว่าถูกยึดและอายัดทรัพย์ในคดีแพ่งเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 และการที่จำเลยทั้งสองร้องเรียนโจทก์ต่อส.ผู้ว่าจ้างโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และจำเลยทั้งสองสมคบกับ ย.หน่วงเหนี่ยวการทำงานของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำงานไม่ทันตามกำหนดเวลาจนถูกส.บอกเลิกสัญญานั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ และจำเลยที่ 2ได้เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายลิฟต์เรียบร้อยแล้ว และโจทก์ได้รับเงินจาก ส.ในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงได้ร้องเรียนต่อ ส. ส.ได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ย โจทก์ตกลงจ่ายงินค่าลิฟต์ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ในที่สุดก็ไม่จ่าย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อ ส. จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบธรรม หาเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ไม่ และการที่จำเลยที่ 2 เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ไปตามที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นและเข้าใจ และหาเป็นความเท็จไม่ ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่แม้เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่ยืนยันว่าเป็นผู้รู้เห็นในเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้าง แต่โจทก์ก็นำสืบรับว่าโจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้างจริง สำหรับในเรื่องเสนอขายเครื่องมือเครื่องจักร แก่ธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 อาจเข้าใจเอาเองเพราะเป็นข้อที่ทราบกันทั่วไป คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง เป็นการเสนอข้อหาต่อศาล 2 ข้อหาและแยกออกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ และตามสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 ได้ แต่โจทก์ไม่ได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 สิทธิตามสัญญาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปนั้นเมื่อเป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลล่างจะต้องวินิจฉัยและประเด็นดังกล่าวไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การที่โจทก์อ้างว่าถูกยึดและอายัดทรัพย์ในคดีแพ่งเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 และการที่จำเลยทั้งสองร้องเรียนโจทก์ต่อส.ผู้ว่าจ้างโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และจำเลยทั้งสองสมคบกับ ย.หน่วงเหนี่ยวการทำงานของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำงานไม่ทันตามกำหนดเวลาจนถูกส.บอกเลิกสัญญานั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ และจำเลยที่ 2ได้เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายลิฟต์เรียบร้อยแล้ว และโจทก์ได้รับเงินจาก ส.ในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงได้ร้องเรียนต่อ ส. ส.ได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ย โจทก์ตกลงจ่ายงินค่าลิฟต์ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ในที่สุดก็ไม่จ่าย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อ ส. จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบธรรม หาเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ไม่ และการที่จำเลยที่ 2 เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ไปตามที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นและเข้าใจ และหาเป็นความเท็จไม่ ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่แม้เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่ยืนยันว่าเป็นผู้รู้เห็นในเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้าง แต่โจทก์ก็นำสืบรับว่าโจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้างจริง สำหรับในเรื่องเสนอขายเครื่องมือเครื่องจักร แก่ธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 อาจเข้าใจเอาเองเพราะเป็นข้อที่ทราบกันทั่วไป คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การเนื่องจากระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมาย และการไม่อนุญาตขยายเวลาโดยไม่มีเหตุผล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดหมาย ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสองกำหนดให้เวลาล่วงเลย 15 วัน จึงจะมีผล ปรากฏว่าทำการปิดหมายแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2531 การนับเวลาล่วงพ้น 15 วันจึงเริ่มนับแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2531 แล้วเริ่มนับกำหนด ยื่นคำให้การภายใน 8 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคแรก ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน2531 ครบกำหนดในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องยื่นคำให้การต่อศาลชั้นต้นภายใน กำหนดเวลาดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่น คำให้การในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 โดยมิได้อ้างเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้ไม่สามารถยื่นคำร้องได้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่จะยื่น คำให้การได้ กรณีจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 23 ชอบที่ศาลชั้นต้น จะสั่งยกคำร้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของโจทก์ที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด และผลของการยกอายุความของผู้ค้ำประกันต่อผู้กู้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายหรือไม่จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง คำว่าไม่ทราบหรือไม่รับรองนั้นเป็นคำกลาง ๆ ไม่เป็นทั้งคำรับและคำปฏิเสธ กล่าวคือ โจทก์อาจจะเป็นนิติบุคคลจริงตามฟ้องก็ได้ แต่จำเลยทั้งสองไม่ทราบจึงไม่รับรอง คำให้การของจำเลยทั้งสองจึงมิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองปฏิเสธข้ออ้างการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ทั้งมิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับฐานะการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้กู้และขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) ให้ถือว่าการกระทำของจำเลยร่วมเป็นการทำแทนซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2ยกอายุความเรื่องดอกเบี้ยขึ้นต่อสู้จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมรดก: ทายาทฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับจากเจ้ามรดกเสียชีวิต คดีขาดอายุความ
โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้สืบสิทธิของ ร. ฟ้องเรียกที่ดินมรดกซึ่ง ร. ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง และมิได้มอบหมายให้จำเลยครอบครองดูแลที่ดินมรดกส่วนของ ร. เมื่อโจทก์ฟ้องคดีมรดกพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 จำเลยยกอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขึ้นต่อสู้ แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วปรับด้วยมาตรา 1375วินิจฉัยว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาททรัพย์มรดกเกินกว่าหนึ่งปี โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนก็ตาม ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม มาตรา 1754 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การสละการครอบครองเดิมและการครอบครองเพื่อตนเองทำให้เกิดสิทธิในที่ดิน
ข้อที่ว่า ห. ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่จำเลยให้การว่าพินัยกรรมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นจะเป็นเอกสารที่มีอยู่จริงหรือไม่ สมบูรณ์ถูกต้องแท้จริงและมีผลบังคับได้หรือไม่จำเลย ไม่ทราบและไม่รับรอง คำให้การของจำเลยดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลย ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามฟ้องว่า ห. ได้ทำพินัยกรรมยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อปี 2513 ห. ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินพิพาทให้โจทก์บุตรผู้เยาว์ของ ส.โดยให้ส.เป็นผู้จัดการมรดกห.ผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตายเมื่อปี 2514 หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ส.ไปขอรับพินัยกรรมจากอำเภอ ปรากฎว่ามีผู้แอบอ้างชื่อ ส. รับพินัยกรรมไปก่อนแล้ว แต่ ส. ก็มิได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อติดตามพินัยกรรมที่หายไป ส.และโจทก์คง ปล่อยให้ ป. และผ.อยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทตลอดมา โดยมิได้ทักท้วงจนผ. ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2525 หลังจากนั้นโจทก์ก็ปล่อยให้ ป. อยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทต่อมาจนกระทั่งเกิดเหตุพิพาทคดีนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์สละการครอบครองบ้านและ ที่ดินพิพาทแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโมฆียะ: ผู้รับประโยชน์ไม่ใช่ผู้ใช้เงิน ผู้ป่วยเจ็บต้องเปิดเผยความจริง
การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประกันชีวิตต่อกันโดยเด็กชายส.บุตรโจทก์เป็นผู้เอาประกัน โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้นบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็คือเด็กชายส.หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ฎีกาจำเลยที่ว่า เด็กชายส.ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ตนป่วยเป็นโรคลมชักในขณะที่โจทก์ขอต่ออายุกรมธรรม์นั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การจำเลย ถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความรับผิดจากการซื้อขายรถยนต์คันที่ถูกลักมา: มาตรา 481 vs. มาตรา 164
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายรถยนต์ให้โจทก์ ต่อมาปรากฏว่าเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกคนร้ายลักไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ยึดรถยนต์ไปจากโจทก์ ขอให้จำเลยใช้ราคารถยนต์พร้อมด้วยค่าเสียหายจำเลยให้การว่า โจทก์ถูกรอนสิทธิเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว แม้คำให้การของจำเลยจะไม่ระบุระยะเวลาที่เป็นอายุความไว้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติเรื่องอายุความรับผิดในการรอนสิทธิไว้ในลักษณะซื้อขาย มาตรา 481เพียงมาตราเดียว โดยกำหนดอายุความไว้สามเดือน จึงพอถือได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความในเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิแล้ว การที่จะนำอายุความสามเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 มาใช้บังคับนั้น ข้อเท็จจริงต้องได้ความว่า โจทก์ได้ประนีประนอมยอมความคืนรถยนต์ให้แก่บุคคลภายนอก หรือยอมคืนรถยนต์ให้ตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง การที่รถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเนื่องจากเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกลักมาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ความรับผิดของจำเลยผู้ขายจึงไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481แต่ต้องตกอยู่ในอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีอายุความสิบปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความรอนสิทธิซื้อขาย: การประนีประนอมยอมความและข้อยกเว้นตามมาตรา 481
แม้คำให้การของจำเลยจะไม่ระบุระยะเวลาที่เป็นอายุความตามข้อต่อสู้ไว้แต่ ป.พ.พ. บัญญัติเรื่องอายุความรับผิดในการรอนสิทธิไว้ในลักษณะซื้อขายมาตรา 481 เพียงมาตราเดียว โดยกำหนดอายุความไว้สามเดือน ตามคำให้การของจำเลยจึงพอถือได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความในเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิตามนัยกฎหมายดังกล่าวแล้ว การที่จะนำอายุความสามเดือน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 มาใช้บังคับนั้นข้อเท็จจริงต้องได้ความว่าโจทก์ได้ประนีประนอมยอมความคืนทรัพย์ให้แก่บุคคลภายนอกหรือยอมคืนทรัพย์ให้ตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง การที่รถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเนื่องจากเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกลักมาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ความรับผิดของจำเลยผู้ขายจึงไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความมาตรา 481 แต่ต้องตกอยู่ในอายุความทั่วไปตามมาตรา 164.