คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 177

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,275 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งซื้อขายรถยนต์และหุ้นไม่เกี่ยวเนื่องกับหนี้จำนอง แม้ผู้ซื้อมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่จำนอง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ชำระเงินกู้ตามสัญญาจำนองจำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ขายรถยนต์กับหุ้นให้จำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 2 ผ่อนชำระเงินครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือโจทก์ให้จำเลยที่ 2 นำที่ดินมีชื่อของจำเลยที่ 1 มาจำนองและให้ถือว่า จำเลยที่ 1 กู้และรับเงินจากโจทก์ แล้วจำเลยที่ 2 นำเงินดังกล่าวชำระราคารถที่เหลือแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ผ่อนชำระค่ารถครบถ้วน และจำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยมาตลอด ขอให้บังคับโจทก์โอนทะเบียนรถและหุ้นให้จำเลยที่ 2 ดังนี้ หนี้ที่จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์กับหุ้นเป็นหนี้คนละส่วนมิได้เกี่ยวข้องกับหนี้จำนองที่โจทก์ฟ้องเดิม ทั้งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของจำเลยที่ 1 ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วให้ชำระหนี้จำนอง มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับรถยนต์และหุ้นที่จำเลยที่2 ซื้อเป็นส่วนตัวจากโจทก์ แม้จำเลยที่ 2 จะมีกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยที่ 1 ในที่ดินที่จำนองฟ้องแย้งที่ขอให้บังคับโจทก์โอนทะเบียนรถยนต์กับหุ้นก็หาได้เกี่ยวข้องกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้จำนองไม่ ฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกประเด็นข้อพิพาทใหม่ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ในคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งจำเลยปลูกบ้านบนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยเห็นว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทนจำเลยจะต้องกล่าวไว้ในคำให้การเพื่อตั้งประเด็นพิพาทไว้จึงจะชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสองแม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งโดยยกเรื่องซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนขึ้นมาด้วย ก็เป็นเพียงยืนยันคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาเป็นผลให้เกิดประเด็นขึ้นมาใหม่ไม่ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยไม่มีประเด็นข้อนี้จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยจึงจะโต้แย้งว่าควรมีประเด็นข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งไม่ชัดเจนจำเลยไม่มีประเด็นสืบ โจทก์ต้องนำสืบตามฟ้อง
จำเลยให้การในตอนแรกว่าไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์และไม่ทราบว่าโจทก์วางมัดจำไว้ แต่ตอนหลังกลับให้การว่าจำเลยไม่ต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์เพราะหักเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นกับห้องเช่าที่ส่งมอบคืน ดังนี้เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยให้โจทก์เช่าห้องและรับเงินมัดจำไว้หรือไม่ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ แต่คำให้การดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง คดียังมีประเด็นข้อพิพาท โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดีได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็คตามกฎหมายตั๋วเงิน ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามเช็คหากไม่พิสูจน์การโอนและการฉ้อฉล
คำให้การของจำเลยทั้งสองกล่าวถึงเพียงความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ส่วนที่กล่าวอ้างว่าโจทก์และผู้ทรงคนก่อนคบคิดกันฉ้อฉลนำเช็คมาฟ้อง ไม่ได้ให้การให้ชัดว่ามีการโอนและคบคิดกันฉ้อฉลอย่างไร จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบ เมื่อจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นโดยไม่จำเป็นต้องฟังพยานอื่นต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การต้องใช้แบบพิมพ์ที่กำหนด และการยื่นผ่านเรือนจำไม่ถือเป็นการยื่นต่อศาล
คำให้การของจำเลยจะต้องใช้กระดาษแบบพิมพ์คำให้การตามที่ทางราชการจัดไว้ จะใช้กระดาษแบบพิมพ์อย่างอื่นอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 ไม่ได้.
การยื่นคำให้การในคดีแพ่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ไม่ได้ จำเลยซึ่งต้องขังอยู่ในเรือนจำยื่นคำให้การในคดีแพ่งต่อผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดีภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ยื่นคำให้การต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การต้องใช้แบบพิมพ์ตามที่ราชการกำหนด และการยื่นคำให้การในเรือนจำไม่ใช่การยื่นต่อศาล
คำให้การของจำเลยจะต้องใช้กระดาษแบบพิมพ์คำให้การตามที่ทางราชการจัดไว้ จะใช้กระดาษแบบพิมพ์อย่างอื่นอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 ไม่ได้
การยื่นคำให้การในคดีแพ่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ไม่ได้ จำเลยซึ่งต้องขังอยู่ในเรือนจำยื่นคำให้การในคดีแพ่งต่อผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดีภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ยื่นคำให้การต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพินัยกรรมเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์สิทธิในการจัดการมรดก แม้ยื่นคัดค้านไปแล้ว ศาลรับฟังได้หากมีเหตุผล
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องอ้างว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องโดยตัดผู้คัดค้านมิให้รับมรดก ผู้คัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก ดังนี้ การที่ผู้คัดค้านนำสืบถึงพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งระบุยกทรัพย์ของผู้ตายส่วนหนึ่งให้ผู้คัดค้าน ก็เท่ากับเพื่อแสดงว่าผู้คัดค้านมิได้ถูกตัดมิให้รับมรดก และผู้คัดค้านมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกได้ กรณีเป็นข้อพิพาทในประเด็นที่ว่า ผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก แม้ผู้คัดค้านรู้ว่ามีพินัยกรรมฉบับนี้ภายหลังยื่นคำคัดค้าน แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลมีอำนาจรับฟังได้ จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพินัยกรรมเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์สิทธิในการจัดการมรดก แม้ยื่นคัดค้านไปแล้ว ศาลรับฟังได้หากเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรม
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องอ้างว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ร้องและบิดาผู้ร้องโดยตัดผู้คัดค้านมิให้รับมรดก ผู้คัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอมผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดก ดังนี้ การที่ผู้คัดค้านนำสืบถึงพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่งซึ่งระบุยกทรัพย์ของผู้ตายส่วนหนึ่งให้ผู้คัดค้าน ก็เท่ากับเพื่อแสดงว่าผู้คัดค้านมิได้ถูกตัดมิให้รับมรดก และผู้คัดค้านมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกได้ กรณีเป็นข้อพิพาทในประเด็นที่ว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกแม้ผู้คัดค้านรู้ว่ามีพินัยกรรมฉบับนี้ภายหลังยื่นคำคัดค้านแต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ศาลมีอำนาจรับฟังได้ จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น.
of 228