พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,184 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง ตัวแทน และความรับผิดในสัญญา การที่ตัวแทนทำสัญญาในนามหลัก ย่อมทำให้หลักมีหน้าที่ผูกพัน
ห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนไปประมูลและทำการก่อสร้างอาคาร เมื่อจำเลยที่ 3 ว่าจ้างโจทก์ติดตั้งกระจกและบานประตูจนโจทก์ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา 1077(2) ประกอบด้วยมาตรา1087
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมาย จ.3 เป็นเรื่องที่ห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ 3 เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นการไม่สุจริตแต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดโดยกำหนดจำนวนหนี้แตกต่างกัน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมาย จ.3 เป็นเรื่องที่ห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ 3 เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นการไม่สุจริตแต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดโดยกำหนดจำนวนหนี้แตกต่างกัน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง ตัวแทน และความรับผิดชอบในสัญญา การกระทำของตัวแทนผูกพันหลักทรัพย์
ห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนไปประมูลและทำการก่อสร้างอาคาร เมื่อจำเลยที่ 3 ว่าจ้างโจทก์ติดตั้งกระจกและบานประตูจนโจทก์ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 และจำเลยที่ 2ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา 1077(2) ประกอบด้วยมาตรา1087
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมายจ.3 เป็นเรื่องที่ห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ 3เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นการไม่สุจริต แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118 วรรคแรก
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ของจำเลยที่ 1 และได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดโดยกำหนดจำนวนหนี้แตกต่างกัน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมายจ.3 เป็นเรื่องที่ห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ 3เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นการไม่สุจริต แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118 วรรคแรก
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ของจำเลยที่ 1 และได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดโดยกำหนดจำนวนหนี้แตกต่างกัน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2285/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันตามบันทึกที่ตัวแทนลงลายมือชื่อแทนจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ว่าบันทึกที่ ส. ทำขึ้นไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะคู่กรณีมิได้ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและไม่มีข้อความแสดงว่าระงับข้อพิพาทที่มีอยู่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ส. ทำบันทึกดังกล่าวในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อก็ต้องผูกพันตามข้อความในบันทึกและใช้บังคับเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้ จึงเป็นข้อวินิจฉัยถูกต้องตรงประเด็นตามที่จำเลยอุทธรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2285/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: อำนาจตัวแทน & ผลผูกพัน แม้ไม่มีลายมือชื่อคู่กรณี
จำเลยอุทธรณ์ว่าบันทึกที่ ส. ทำขึ้นไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะคู่กรณีมิได้ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและไม่มีข้อความแสดงว่าระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ส. ทำบันทึกดังกล่าวในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อก็ต้องผูกพันตามข้อความในบันทึกและใช้บังคับเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้ จึงเป็นข้อวินิจฉัยถูกต้องตรงประเด็นตามที่จำเลยอุทธรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายลดเช็คไม่สมบูรณ์เนื่องจากโจทก์ไม่จ่ายเงินตามสัญญา ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเป็นผู้ทรงเช็ค
จำเลยนำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์ แต่เจ้าหน้าที่ของโจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้อื่นไป โดยบกพร่องต่อหน้าที่อันส่อไปในทางไม่สุจริต โจทก์จำต้องรับผิดในการที่จำเลยไม่ได้รับเงินค่าขายลดเช็ค การขายลดเช็คยังไม่สมบูรณ์เพราะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าขายลดเช็คให้จำเลยตามสัญญาขายลดเช็ค. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายลดเช็คไม่สมบูรณ์ ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องในฐานะผู้ทรงเช็ค
จำเลยนำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์ แต่เจ้าหน้าที่ของโจทก์จ่ายเงินให้แก่ผู้อื่นไปโดยบกพร่องต่อหน้าที่อันส่อไปในทางไม่สุจริต โจทก์จำต้องรับผิดในการที่จำเลยไม่ได้รับเงินค่าขายลดเช็ค การขายลดเช็คยังไม่สมบูรณ์เพราะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าขายลดเช็คให้จำเลยตามสัญญาขายลดเช็ค. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาประกันภัย: ตัวแทน, ตัวการ, และการโอนสิทธิ
เดิมรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นของโจทก์ที่ 2 ต่อมาได้ขายให้โจทก์ที่ 1 แต่มิได้แจ้งการโอนให้เป็นหลักฐานทางทะเบียน หลังจากนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันนี้กับจำเลยแทนโจทก์ที่ 1 โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ออกเบี้ยประกันภัย และจำเลยทราบว่าโจทก์ที่ 2 ได้โอนรถยนต์ให้แก่โจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคู่สัญญากับจำเลยตามสัญญาประกันภัยโดยโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ตามสัญญาประกันภัย
เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยที่โจทก์ที่ 2 ได้ทำแทนแล้ว โจทก์ที่ 2 ก็สิ้นความผูกพันกับจำเลย โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยที่โจทก์ที่ 2 ได้ทำแทนแล้ว โจทก์ที่ 2 ก็สิ้นความผูกพันกับจำเลย โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจัดตั้งสาขาธนาคาร: ผลผูกพันสัญญา แม้ผู้ลงนามไม่ใช่ตัวแทนโดยตรง และอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่ง
โจทก์จำเลยมีเจตนาจะทำสัญญาต่อกัน และได้ทำสัญญาขึ้นโดย ช.ลงชื่อเป็นคู่สัญญาฝ่ายโจทก์ถึงแม้ ช. จะมิใช่ผู้แทนของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่จำเลยก็ทราบดีว่า ช. ลงชื่อในฐานะตัวแทนโจทก์และโจทก์จำเลยก็ได้ปฏิบัติตามสัญญาต่อกันตลอดมา สัญญาดังกล่าวย่อมเป็นผลผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยจัดตั้งสาขาธนาคารโจทก์ โดยจำเลยต้องดำเนินกิจการภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ การแต่งตั้งพนักงานบางตำแหน่งโจทก์สงวนสิทธิที่จะแต่งตั้งเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ก่อน และการดำเนินกิจการบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือต้องผ่านสำนักงานใหญ่ของโจทก์จำเลยหามีอำนาจดำเนินการอย่างเป็นอิสระไม่ สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฐาน แม้จะกล่าวว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารโจทก์ทำการโดยประมาทเลินเล่อโดยปราศจากอำนาจแสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริตก็เป็นการกล่าวตามที่มีปรากฏในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเรื่องฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาระหว่างโจทก์ จำเลยซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น หาใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดไม่ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีอายุความสิบปี
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาพิพาทกับโจทก์จริง จึงรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลย ไม่จำต้องใช้สัญญาพิพาทซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐาน
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยจัดตั้งสาขาธนาคารโจทก์ โดยจำเลยต้องดำเนินกิจการภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ การแต่งตั้งพนักงานบางตำแหน่งโจทก์สงวนสิทธิที่จะแต่งตั้งเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ก่อน และการดำเนินกิจการบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือต้องผ่านสำนักงานใหญ่ของโจทก์จำเลยหามีอำนาจดำเนินการอย่างเป็นอิสระไม่ สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฐาน แม้จะกล่าวว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารโจทก์ทำการโดยประมาทเลินเล่อโดยปราศจากอำนาจแสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริตก็เป็นการกล่าวตามที่มีปรากฏในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเรื่องฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาระหว่างโจทก์ จำเลยซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น หาใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดไม่ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีอายุความสิบปี
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาพิพาทกับโจทก์จริง จึงรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลย ไม่จำต้องใช้สัญญาพิพาทซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจัดตั้งสาขาธนาคาร: ผลผูกพันแม้ผู้ลงนามไม่ใช่ตัวแทนโดยตรง & อายุความสัญญา 10 ปี
โจทก์จำเลยมีเจตนาจะทำสัญญาต่อกัน และได้ทำสัญญาขึ้นโดย ช. ลงชื่อเป็นคู่สัญญาฝ่ายโจทก์ ถึงแม้ ช. จะมิใช่ผู้แทนของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่จำเลยก็ทราบดีว่า ช. ลงชื่อในฐานะตัวแทนโจทก์และโจทก์จำเลยก็ได้ปฏิบัติตามสัญญาต่อกันตลอดมา สัญญาดังกล่าวย่อมเป็นผลผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยจัดตั้งสาขาธนาคารโจทก์ โดยจำเลยต้องดำเนินกิจการภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ การแต่งตั้งพนักงานบางตำแหน่งโจทก์สงวนสิทธิที่จะแต่งตั้งเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ก่อน และการดำเนินกิจการบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือต้องผ่านสำนักงานใหญ่ของโจทก์จำเลยหามีอำนาจดำเนินการอย่างเป็นอิสระไม่ สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฐาน แม้จะกล่าวว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารโจทก์ทำการโดยประมาทเลินเล่อโดยปราศจากอำนาจแสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริตก็เป็นการกล่าวตามที่มีปรากฏในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเรื่องฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาระหว่างโจทก์ จำเลยซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น หาใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดไม่กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164คือมีอายุความสิบปี
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาพิพาทกับโจทก์จริง จึงรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลย ไม่จำต้องใช้สัญญาพิพาทซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐาน
โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยจัดตั้งสาขาธนาคารโจทก์ โดยจำเลยต้องดำเนินกิจการภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ การแต่งตั้งพนักงานบางตำแหน่งโจทก์สงวนสิทธิที่จะแต่งตั้งเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากโจทก์ก่อน และการดำเนินกิจการบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือต้องผ่านสำนักงานใหญ่ของโจทก์จำเลยหามีอำนาจดำเนินการอย่างเป็นอิสระไม่ สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฐาน แม้จะกล่าวว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารโจทก์ทำการโดยประมาทเลินเล่อโดยปราศจากอำนาจแสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริตก็เป็นการกล่าวตามที่มีปรากฏในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเรื่องฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาระหว่างโจทก์ จำเลยซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น หาใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดไม่กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164คือมีอายุความสิบปี
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาพิพาทกับโจทก์จริง จึงรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลย ไม่จำต้องใช้สัญญาพิพาทซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2057/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การฟ้องจำเลยต่างประเทศและตัวแทนในคดีละเมิด
โจทก์ฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 4 ว่า "บริษัทโทรีเซนแอนด์โก(ลิมิเต็ด) จำกัด โดยบริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ)จำกัด จำเลยที่ 4"ทั้งบรรยายฟ้องด้วยว่าบริษัทโทรีเซนแอนด์โก (ลิมิเต็ด) จำกัดจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ณ ประเทศฮ่องกงโดยบริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ)จำกัด เป็นสาขาในประเทศไทยเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์จะฟ้องบริษัทโทรีเซน แอนด์โก (ลิมิเต็ด)จำกัด เป็นจำเลยที่ 4หาใช่ฟ้องบริษัทโทรีเซน(กรุงเทพ) จำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันเป็นจำเลยที่ 4 ไม่
ฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยหนี้เหนือบุคคล ระหว่างโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย กับลูกหนี้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และมิได้เข้ามาหรือมีสาขาในประเทศไทย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยดังกล่าวต่อศาลไทย
บริษัทจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเรือต่างชาติเกี่ยวกับพิธีการนำเรือเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ และจัดการจ่ายของที่บรรทุกมาในเรือให้แก่ผู้รับในประเทศไทย ตลอดทั้งหาผู้ส่งสินค้าลงเรือดังนี้บริษัทจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นตัวแทนในกิจการดังกล่าวเท่านั้น จึงหาต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดในการที่เรือต่างชาติชนเรือของโจทก์ไม่
ฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยหนี้เหนือบุคคล ระหว่างโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย กับลูกหนี้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และมิได้เข้ามาหรือมีสาขาในประเทศไทย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยดังกล่าวต่อศาลไทย
บริษัทจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเรือต่างชาติเกี่ยวกับพิธีการนำเรือเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ และจัดการจ่ายของที่บรรทุกมาในเรือให้แก่ผู้รับในประเทศไทย ตลอดทั้งหาผู้ส่งสินค้าลงเรือดังนี้บริษัทจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นตัวแทนในกิจการดังกล่าวเท่านั้น จึงหาต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดในการที่เรือต่างชาติชนเรือของโจทก์ไม่