คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 820

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,184 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805-1806/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาเชิดตัวแทนก่อหนี้: ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบหนี้ที่ตัวแทนซื้อวัสดุก่อสร้าง
การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างสถานที่แห่งหนึ่ง แม้จะจ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างอีกต่อหนึ่งก็ตาม แต่ระหว่างก่อสร้างได้ปักป้ายว่าตนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และบางครั้งก็ไปตรวจงานเองหรือมอบให้คนอื่นไปตรวจแทน การส่งมอบงานและรับเงินแต่ละงวดจำเลยที่ 1 ก็ทำเองโดยตรง เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนแล้ว จึงต้องรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 2 ไปซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างต่อบุคคลภายนอกด้วย
สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เป็นเงินเกินกว่าห้าร้อยบาทเมื่อผู้ซื้อได้รับของไปแล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้น การตั้งตัวแทนก็ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805-1806/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเชิดตัวแทนก่อหนี้: ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบหนี้ที่ตัวแทนซื้อเชื่อ
การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างสถานที่แห่งหนึ่ง แม้จะจ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างอีกต่อหนึ่งก็ตาม แต่ระหว่างก่อสร้างได้ปักป้ายว่าตนเป็นเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและบางครั้งก็ไปตรวจงานเองหรือมอบให้คนอื่น ไปตรวจแทน การส่งมอบงานและรับเงินแต่ละงวดจำเลยที่ 1 ก็ทำเองโดยตรงเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนแล้ว จึงต้องรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 2 ไปซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างต่อบุคคลภายนอกด้วย
สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เป็นเงินเกินกว่าห้าร้อยบาท เมื่อผู้ซื้อได้รับของไปแล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้น การตั้งตัวแทนก็ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนายเมื่อเลิกสัญญาจ้างว่าความ: การคิดค่าจ้างตามควรค่าของงานที่ทำไปแล้ว
จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องคดีและว่าความในศาลชั้นต้นชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ครั้นโจทก์ฟ้องคดีและว่าความในศาลชั้นต้นไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนโจทก์จากการเป็นทนาย โจทก์แถลงไม่คัดค้านศาลฟังว่าการเลิกสัญญาเกิดจากการตกลงกัน คู่สัญญายังมีสิทธิที่จะได้คืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมโดยวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรค 2,3,4 โดยเฉพาะก็คือ วรรค 3 จำเลยต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานของโจทก์ และต้องคิดค่าจ้างตามรูปคดี หาใช่คิดแต่จำนวนค่าเสียหายที่เรียกร้องไม่
ตัวแทนจ้างโจทก์แทนตัวการ. ตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ผู้เดียวตัวแทนหาต้องรับผิดด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนายเมื่อเลิกสัญญาจ้าง การคิดค่าจ้างตามรูปคดี และความรับผิดของตัวการ
จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนายฟ้องคดีและว่าความในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา ครั้นโจทก์ฟ้องคดีและว่าความในศาลชั้นต้นไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนโจทก์จากการเป็นทนาย โจทก์แถลงไม่คัดค้าน ศาลฟังว่าการเลิกสัญญาเกิดจากการตกลงกัน คู่สัญญายังมีสิทธิที่จะได้คืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมโดยวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรค 2, 3, 4 โดยเฉพาะก็คือ วรรค 3 จำเลยต้องใช้เงินตามควรแก่ค่าแห่งการงานของโจทก์ และต้องคิดค่าจ้างตามรูปคดี หาใช่คิดแต่คำนวณค่าเสียหายที่เรียกร้องไม่
ตัวแทนจ้างโจทก์แทนตัวการ ตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ผู้เดียว ตัวแทนหาต้องรับผิดด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนจ้างทำป้าย: จำเลยที่ 1 ผู้จ้างต้องรับผิดชอบหนี้แต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันทำสัญญาจ้างโจทก์ทำป้ายโฆษณา โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามรับผิดในสัญญา ขอให้ร่วมกันรับผิดเมื่อปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ว่าจ้างในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ้าง จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมด้วยไม่ได้ แม้จะได้ตกลงกำหนดประเด็นนำสืบกันเพียงข้อเดียวว่าทำสัญญาจ้างทำป้ายกันกี่ป้ายก็ดี ก็หาเป็นเหตุให้ไม่ต้องวินิจฉัยความรับผิดตามกฎหมายด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนทางกฎหมาย: ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการและผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นตัวแทน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้กำกับแขวงการทางและมีหน้าที่รับเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับราชการแขวงการทางด้วยจำเลยที่ 1 เบิกเงินจากจำเลยที่ 2 ไป เพื่อชำระค่าสิ่งของที่จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อจากโจทก์มาใช้ในราชการแขวงการทางซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินเสียดังนี้ ถึงแม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 ก็เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบราชการ จำเลยที่ 1 หาใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ไม่จะนำกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาใหม่จากการบอกเลิกสัญญาเดิมและการตอบแทนกัน การมอบหมายกิจการและวัสดุเพื่อทุ่นค่าใช้จ่ายถือเป็นสัญญาที่ผูกพันได้
โจทก์ได้เข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างตลาดให้จำเลย แต่ทำไม่แล้วเสร็จตามกำหนด จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและว่าจะดำเนินการก่อสร้างเองต่อไป ถ้ามีเงินเหลือจะคืนให้โจทก์ ให้โจทก์จัดการมอบหมายกิจการก่อสร้างตลาดทั้งหมดให้คณะกรรมการเพื่อเป็นการทุ่นรายจ่ายในการที่จะจัดซื้อต่อไป ฝ่ายโจทก์ก็สนองรับและได้มอบกิจการกับวัสดุก่อสร้างที่เหลืออยู่ ณ ที่ก่อสร้าง และที่โจทก์เก็บไว้ที่อื่นให้คณะกรรมการ ทั้งโจทก์ได้เข้าเป็นลูกจ้างรายวันเพื่อมีโอกาศดูแลควบคุมให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปโดยสมควรและถูกต้อง เพื่อหวังจะได้เงินที่เหลือดังนี้ แสดงให้เห็นว่า มีการตอบแทนกัน ก่อให้เกิดเป็นสัญญาขึ้นใหม่ซึ่งมีผลบังคับได้ มิใช่เป็นเรื่องจะให้เงินโดยเสน่หาอย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการทรัพย์สินของวัด และอำนาจฟ้องร้อง กรณีการก่อสร้างที่ไม่ได้รับอนุญาต
วัดซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สมบัติของวัดได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 43 แต่ศาสนสมบัติของวัดก็ต้องเป็นไปตามระเบียบซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ตราไว้ด้วยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 49
ฟ้องว่าวัดโจทก์จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของวัด ระหว่างก่อสร้างจำเลยเข้าดำเนินงานก่อสร้างเอง โดยโจทก์ไม่ยินยอม เมื่อจำเลยต่อสู้ว่า จำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติ และต่อสู้ว่า จำเลยทำตามคำสั่งของสังฆายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดโจทก์ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการทรัพย์สินวัด และสิทธิในการฟ้องคดีละเมิดต่อการก่อสร้างที่ไม่ได้รับอนุญาต
วัดซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สมบัติของวัดได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 มาตรา 43 แต่ศาสนสมบัติของวัดก็ต้องเป็นไปตามระเบียบซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ตราไว้ด้วยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 มาตรา 49
ฟ้องว่าวัดโจทก์จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของวัดระหว่างก่อสร้างจำเลยเข้าดำเนินงานก่อสร้างเอง โดยโจทก์ไม่ยินยอม เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติและต่อสู้ว่าจำเลยทำตามคำสั่งของสังฆนายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดโจทก์ ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพังได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องสังฆนายกหรือสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 752/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเริ่มนับแต่วันผิดนัด ไม่ใช่แค่วันที่รู้ตัวการ
โจทก์เป็นพ่อค้าเครื่องยนต์เพื่ออุตสาหกรรมตัวแทนของจำเลยได้ตกลงจะชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องยนต์เช่นว่านั้นให้โจทก์ภายในวันที่ 24 ก.ค. 2493 เมื่อถึงกำหนด ไม่มีการชำระหนี้ เช่นนี้ ต้องถือว่า จำเลยซึ่งเป็นตัวการผิดนัดด้วย โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยได้ตั้งแต่วันผิดนัด คือวันที่ 24 ก.ค. 2493 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่นั้นมา โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2499 เกิน 5 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ป.พ.พ. มาตรา 165 (1) และ มาตรา 165 วรรค 2 เกี่ยวกับการนับอายุความ ให้เริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึง วันรู้ (คือ วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นตัวการ) จะนำมาสงเคราะห์เทียบเคียงกันไม่ได้กับ ป.พ.พ. มาตรา 448 เรื่องละเมิด ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกิดขึ้นโดยตัวแทนของจำเลยไปซื้อเครื่องยนต์ จากโจทก์และตัวแทนของจำเลยตกลงจะชำระหนี้ให้ ต่อมาไม่มีการชำระหนี้เมื่อเกิดผิดนัดขึ้นเมื่อใด ก็เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์อาจบังคับแก่จำเลยได้ตั้งแต่นั้นมา มิใช่ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์จะเพิ่งมาตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับตัวแทนของจำเลยในเรื่องหนี้สินรายเดียวกันนี้
of 119