พบผลลัพธ์ทั้งหมด 655 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินเนื่องจากผู้ซื้อค้างชำระราคา และสิทธิในการเรียกคืนที่ดิน
สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายกันได้โอนไปยังจำเลยแล้ว แต่หากจำเลยยังชำระราคาที่ดินให้โจทก์ไม่ครบถ้วน ก็เป็นเรื่องที่จำเลย ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้จำเลยชำระราคาที่ยังค้างชำระให้โจทก์ภายในกำหนดระยะเวลานั้นได้ และถ้าจำเลยยังไม่ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 และเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากจำเลยตามมาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันความเสียหายจากการเช่าเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดหรือถูกบอกเลิก
แม้สัญญาเช่าตึกแถวข้อ2จะได้ระบุว่าโจทก์ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันความเสียหายแก่จำเลยเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วก็ตามแต่ในกรณีที่โจทก์ผู้ให้เช่าหรือจำเลยผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่า2ปีตามสิทธิที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าข้อ12โจทก์ผู้ให้เช่าก็ย่อมต้องคืนเงินประกันความเสียหายนั้นให้แก่จำเลยผู้เช่าหลังจากหักเงินประกันดังกล่าวชำระหนี้ค่าน้ำประปาไฟฟ้าโทรศัพท์และความเสียหายของตึกแถวที่แล้วด้วยเพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของจำเลยที่วางไว้แก่โจทก์เพียงพอเพื่อประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการเช่าดังกล่าวเท่านั้นดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าตึกแถวต่อกันแล้วโจทก์ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันความเสียหายดังกล่าวให้แก่จำเลยผู้เช่าและเมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำเลยจึงมีสิทธิที่จะขอให้หักกลบลบหนี้ดังกล่าวกับเงินประกันความเสียหายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนเงินประกันสัญญาเช่าเมื่อสัญญาเลิกก่อนกำหนด และสิทธิหักกลบลบหนี้
แม้สัญญาเช่าตึกแถวข้อ 2 จะได้ระบุว่า โจทก์ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันความเสียหายแก่จำเลยเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วก็ตาม แต่ในกรณีที่โจทก์ผู้ให้เช่าหรือจำเลยผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่า 2 ปีตามสิทธิที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าข้อ 12 โจทก์ผู้ให้เช่าก็ย่อมต้องคืนเงินประกันความเสียหายนั้นให้แก่จำเลยผู้เช่าหลังจากหักเงินประกันดังกล่าวชำระหนี้ค่าน้ำประปาไฟฟ้า โทรศัพท์ และความเสียหายของตึกแถวที่แล้วด้วย เพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของจำเลยที่วางไว้แก่โจทก์เพียงเพื่อประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการเช่าดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าตึกแถวต่อกันแล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันความเสียหายดังกล่าวให้แก่จำเลยผู้เช่า และเมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะขอให้หักกลบลบหนี้ดังกล่าวกับเงินประกันความเสียหายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีเงื่อนไขถูกบอกเลิกได้เมื่อเกิดข้อจำกัดทางกฎหมายทำให้ไม่สามารถโอนได้ ผู้ขายต้องคืนเงิน
ในกรณีที่ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ฟังมา แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังมายังไม่ชัดเจนพอ ศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่จากพยานหลักฐานในสำนวนได้
ขณะโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินที่จำเลยมีสิทธิเข้าทำกินในนิคมทุ่งสาน โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันด้วยว่า หากทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินนั้นแก่โจทก์ต่อไปการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างโจทก์จำเลย จึงเป็นสัญญาจะซื้อขายกันเท่านั้นไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทั้งข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันก็เพิ่งจะประทับตราด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2529หลังจากโจทก์จำเลยตกลงกันแล้วเกือบ 1 ปี จึงเป็นที่เห็นได้ว่า ขณะโจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลย โจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามหรือฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์ เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ เมื่อโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วผลของการเลิกสัญญาคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยจึงต้องคืนเงินค่าที่ดินที่ได้รับชำระจากโจทก์จำนวน 65,000 บาท แก่โจทก์
ขณะโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินที่จำเลยมีสิทธิเข้าทำกินในนิคมทุ่งสาน โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันด้วยว่า หากทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินนั้นแก่โจทก์ต่อไปการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างโจทก์จำเลย จึงเป็นสัญญาจะซื้อขายกันเท่านั้นไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทั้งข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันก็เพิ่งจะประทับตราด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2529หลังจากโจทก์จำเลยตกลงกันแล้วเกือบ 1 ปี จึงเป็นที่เห็นได้ว่า ขณะโจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลย โจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามหรือฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์ เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ เมื่อโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วผลของการเลิกสัญญาคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยจึงต้องคืนเงินค่าที่ดินที่ได้รับชำระจากโจทก์จำนวน 65,000 บาท แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีผลผูกพันจนกว่าจะมีการจดทะเบียน หากมีข้อห้ามตามกฎหมาย คู่สัญญาอาจบอกเลิกสัญญาได้
ในกรณีที่ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ฟังมาแต่ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ฟังมายังไม่ชัดเจนพอศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่จากพยานหลักฐานในสำนวนได้ ขณะโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินที่จำเลยมีสิทธิเข้าทำกินในนิคมทุ่งสานโจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันด้วยว่าหากทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยแล้วจำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินนั้นแก่โจทก์ต่อไปการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาจะซื้อขายกันเท่านั้นไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทั้งข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันก็เพิ่งจะประทับตราด้านหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี2529หลังจากโจทก์จำเลยตกลงกันแล้วเกือบ1ปีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าขณะโจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยโจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินนั้นมีข้อกำหนดห้ามโอนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามหรือฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่โจทก์เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้เมื่อโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วผลของการเลิกสัญญาคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจำเลยจึงต้องคืนเงินค่าที่ดินที่ได้รับชำระจากโจทก์จำนวน65,000บาทแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย: สิทธิบอกเลิกสัญญา vs. ค่าปรับรายวัน ศาลชี้ขาดสิทธิเรียกร้องตามสัญญา
ตามสัญญาข้อ9เป็นเรื่องกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวนและผู้ซื้อได้บอกเลิกสัญญาต่อผู้ขายส่วนสัญญาข้อ10กำหนดค่าปรับในกรณีผู้ซื้อไม่บอกเลิกสัญญาต่อผู้ขายและยังคงยินยอมให้ผู้ขายนำสิ่งของที่ตกลงขายตามสัญญามาส่งให้ผู้ซื้อต่อไปผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากผู้ขายเป็นรายวันได้ซึ่งต้องปรากฏว่าผู้ขายได้มีการส่งมอบสิ่งของแล้วจะครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ก็ตามแต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของทั้งหมดภายในกำหนดสัญญาโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันซึ่งเป็นการปฏิบัติตามสัญญาข้อ9โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ10อีก โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับรายวันตามสัญญาการที่ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าปรับรายวันแต่ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน10,000บาทโดยอาศัยนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391นั้นเป็นการพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคแรกและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับ vs. ค่าเสียหาย: ศาลพิพากษาเกินคำฟ้อง
ตามสัญญาข้อ 9 เป็นเรื่องกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน และผู้ซื้อได้บอกเลิกสัญญาต่อผู้ขาย ส่วนสัญญาข้อ 10 กำหนดค่าปรับในกรณีผู้ซื้อไม่บอกเลิกสัญญาต่อผู้ขาย และยังคงยินยอมให้ผู้ขายนำสิ่งของที่ตกลงขายตามสัญญามาส่งให้ผู้ซื้อต่อไป ผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากผู้ขายเป็นรายวันได้ ซึ่งต้องปรากฎว่าผู้ขายได้มีการส่งมอบสิ่งของแล้วจะครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของทั้งหมดภายในกำหนดสัญญา โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันซึ่งเป็นการปฏิบัติตามสัญญาข้อ 9 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับเป็นรายวันตามสัญญาข้อ 10 อีก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับรายวันตามสัญญา การที่ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าปรับรายวัน แต่ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 10,000 บาท โดยอาศัยนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 นั้น เป็นการพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าปรับรายวันตามสัญญา การที่ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าปรับรายวัน แต่ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 10,000 บาท โดยอาศัยนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 นั้น เป็นการพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเนื่องจากไม่ชำระค่างวด และสิทธิในการคืนเงินมัดจำ
การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์แก่จำเลยติดต่อกันมาเป็นเวลา8เดือนซึ่งจำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญาสัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่โจทก์มิได้ผิดสัญญาเมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินค่างวดที่ค้างมีข้อความว่ามิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อจึงเป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนดหรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบเมื่อเป็นเช่นนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยและให้จำเลยคืนเงินมัดจำย่อมมีสิทธิทำได้และกรณีเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญาโจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเนื่องจากไม่ชำระค่างวดและการคืนเงินมัดจำ
การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์แก่จำเลยติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 เดือนซึ่งจำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่ โจทก์มิได้ผิดสัญญาเมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ ชำระเงินค่างวดที่ค้างมีข้อความว่า มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่า ท่านสละสิทธิในการจองซื้อ จึงเป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนด หรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบเมื่อเป็นเช่นนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย และให้จำเลยคืนเงินมัดจำย่อมมีสิทธิทำได้ และกรณีเป็นเรื่อง ต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา โจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 จำเลยต้อง คืนเงินมัดจำแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาซื้อขายอาคารพาณิชย์ และการคืนเงินมัดจำเมื่อต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญา
ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ระบุว่า "ตามที่ท่านได้จองซื้ออาคารพาณิชย์ดังกล่าวจากบริษัทกีรทรัพย์ แมนชั่นวิลล์ นั้น ท่านมิได้มาชำระค่างวดติดต่อกันเป็นเวลา 8 งวด (เดือน) นับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2533 ถึง 25เมษายน 2534 ทางบริษัทจึงใคร่เรียนให้ทราบว่า บัดนี้ทางบริษัทได้ลงมือทำการก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้ว จึงขอให้ท่านมาติดต่อชำระค่างวดที่สำนักงานบริษัทภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับจดหมาย มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อดังกล่าว หากท่านขัดข้องประการใด กรุณาแจ้งให้ทางบริษัททราบด้วย"ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 เดือน จำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญาแต่อย่างใด สัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่ โจทก์มิได้ผิดสัญญา ส่วนข้อความในหนังสือเอกสารหมายจ.5 ที่ว่า "มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อ" เป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนด หรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบ ดังนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยย่อมมีสิทธิทำได้ กรณีจึงเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา โจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามป.พ.พ.มาตรา 391 จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์