คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 391

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 655 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2504/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาจ้างต่อเรือ: สิทธิเรียกร้องคืนเงินและค่าเสียหาย, อายุความ 10 ปี
จำเลยรับจ้างต่อเรือให้แก่โจทก์ซึ่งอาจกระทำให้เสร็จได้ภายในกำหนดเวลา 14 เดือน แม้สัญญาจ้างต่อเรือจะมิได้กำหนดเวลาต่อเรือให้แล้วเสร็จไว้ก็ตาม แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่จำเลยทำสัญญารับจ้างต่อเรือจนถึงวันที่โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยครั้งสุดท้ายเป็นเวลาร่วม 18 เดือนเศษ จำเลยทำการต่อเรือ ได้เพียงตั้งกระดูกงู ตั้งกงและโขนหัวเรือเท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยมิได้ดำเนินการต่อเรือให้โจทก์อีก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลย ต่อเรือให้เสร็จภายในกำหนด 2 เดือน จำเลยได้รับหนังสือแล้วมิได้ดำเนินการประการใดซึ่งเป็นระยะเวลาต่อมาอีกถึง 2 ปีเห็นได้ว่าจำเลยจงใจที่จะไม่ทำการต่อเรือให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกคืนค่าจ้างที่จ่ายให้แก่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยผิดสัญญารับจ้างต่อเรือให้โจทก์ ไม่ใช่เรื่องนายจ้างเรียกเอาเงินค่าจ้างอันตนได้จ่ายล่วงหน้าให้ไปจากบุคคลผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(8) ซึ่งมีอายุความ 2 ปี แต่อยู่ในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2504/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาจ้างต่อเรือ: อายุความ 10 ปี, จำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญา
จำเลยรับจ้างต่อเรือให้แก่โจทก์ซึ่งอาจกระทำให้เสร็จได้ภายในกำหนดเวลา 14 เดือน แม้สัญญาจ้างต่อเรือจะมิได้กำหนดเวลาต่อเรือให้แล้วเสร็จไว้ก็ตาม แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่จำเลยทำสัญญารับจ้างต่อเรือจนถึงวันที่โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยครั้งสุดท้ายเป็นเวลาร่วม 18 เดือนเศษ จำเลยทำการต่อเรือได้เพียงตั้งกระดูกงู ตั้งกงและโขนหัวเรือเท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยมิได้ดำเนินการต่อเรือให้โจทก์อีก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยต่อเรือให้เสร็จภายในกำหนด 2 เดือน จำเลยได้รับหนังสือแล้วมิได้ดำเนินการประการใดซึ่งเป็นระยะเวลาต่อมาอีกถึง 2 ปี เห็นได้ว่าจำเลยจงใจที่จะไม่ทำการต่อเรือให้โจทก์ตามสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
สิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกคืนค่าจ้างที่จ่ายให้แก่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยผิดสัญญารับจ้างต่อเรือให้โจทก์ ไม่ใช่เรื่องนายจ้างเรียกเอาเงินค่าจ้างอันตนได้จ่ายล่วงหน้าให้ไปจากบุคคลผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(8) ซึ่งมีอายุความ 2 ปีแต่อยู่ในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลือกใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย: ริบเงินประกัน vs. ค่าเสียหายที่ซื้อแพงขึ้น การแสดงเจตนาเลือกใช้สิทธิมีผลผูกพัน
สัญญาซื้อขายมีข้อกำหนดในกรณีจำเลย (ผู้ขาย) ผิดสัญญาว่าโจทก์ (ผู้ซื้อ)จะริบเงินประกัน หรือให้จำเลยใช้เงินส่วนที่โจทก์ต้องซื้อสินค้าแพงไปจากข้อตกลงก็ได้ เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์ขอสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายตามเงื่อนไขแห่งสัญญาซึ่งโจทก์จะแจ้งค่าเสียหายให้จำเลยทราบต่อไป จึงเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ว่าไม่ประสงค์จะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทางริบเงินประกัน ดังนั้นเมื่อต่อมาโจทก์ได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ซื้อสินค้าดังกล่าวแพงไปจากข้อตกลงแก่จำเลย ก็ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยในจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น แม้โจทก์จะได้เรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันแล้ว เงินดังกล่าวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น มิใช่เป็นการริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลือกใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย: ริบเงินประกัน หรือเรียกค่าเสียหายที่ซื้อแพงขึ้น สิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิทางเลือกที่โจทก์สามารถใช้ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
สัญญาซื้อขายมีข้อกำหนดในกรณีจำเลย (ผู้ขาย) ผิดสัญญาว่า โจทก์ (ผู้ซื้อ)จะริบเงินประกัน หรือให้จำเลยใช้เงินส่วนที่โจทก์ต้องซื้อสินค้าแพงไปจากข้อตกลงก็ได้ เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์ขอสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายตามเงื่อนไขแห่งสัญญาซึ่งโจทก์จะแจ้งค่าเสียหายให้จำเลยทราบต่อไป จึงเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ว่าไม่ประสงค์จะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทางริบเงินประกันดังนั้นเมื่อต่อมาโจทก์ได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ซื้อสินค้าดังกล่าวแพงไปจากข้อตกลงแก่จำเลย ก็ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยในจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น แม้โจทก์จะได้เรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันแล้วเงินดังกล่าวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้นมิใช่เป็นการริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการรับฟังพยานหลักฐานสำเนาเอกสารที่ได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่รัฐ
จำเลยไม่สามารถส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังโจทก์ โจทก์มีหนังสือตอบไปว่า(โจทก์เท่านั้นที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา)หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญา จำเลยมีหนังสือตอบโจทก์ว่ายินดีให้โจทก์ดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาโจทก์จึงได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มายังจำเลยว่าโจทก์จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาต่อไป หนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มิใช่หนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ต่อมาเมื่อโจทก์เรียกประกวดราคาใหม่แล้วจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ดังนี้ ต้องถือเอาวันบอกเลิกสัญญาตามที่ปรากฏในหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับหลัง
โจทก์อ้างสำเนาภาพถ่ายเอกสารซึ่งต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับห้าของทางราชการดังกล่าวรับรองความถูกต้องแห่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้น สำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้นรับฟังเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการรับรองสำเนาเอกสารโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
จำเลยไม่สามารถส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังโจทก์ โจทก์มีหนังสือตอบไปว่า(โจทก์เท่านั้นที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา)หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์ขอสงวนสิทธิที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจำเลยมีหนังสือตอบโจทก์ว่ายินดีให้โจทก์ดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาโจทก์จึงได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มายังจำเลยว่าโจทก์จะดำเนินการตามเงื่อนไขแห่งสัญญาต่อไป หนังสือตามเอกสารหมาย จ.36 มิใช่หนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ต่อมาเมื่อโจทก์เรียกประกวดราคาใหม่แล้วจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ดังนี้ต้องถือเอาวันบอกเลิกสัญญาตามที่ปรากฏในหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับหลัง
โจทก์อ้างสำเนาภาพถ่ายเอกสารซึ่งต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับห้าของทางราชการดังกล่าวรับรองความถูกต้องแห่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้นสำเนาภาพถ่ายเอกสารนั้นรับฟังเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาซื้อขายและการติดตามเอาทรัพย์สินคืน: กรรมสิทธิ์ยังไม่ระงับแม้ครอบครองนาน
จำเลยได้รับมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ไว้ในความครอบครองตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อขายอันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้จะครอบครองเป็นเวลาช้านานเพียงใด จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
การที่โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้แก่จำเลยและเรียกให้จำเลยส่งมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์อันเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายคืนหากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืนจึงไม่มีอายุความ
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจะถอนเสียมิได้ ดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือติดต่อขอส่งมอบลิฟท์ให้แก่จำเลยและขอเก็บเงินงวดสุดท้ายในเวลาต่อมา จึงเป็นเพียงคำเสนอขึ้นใหม่ เมื่อไม่มีการสนองตอบจึงไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใด โจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาซื้อขายและการคืนทรัพย์สิน: กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของผู้ขายจนกว่าจะชำระเงินครบถ้วน แม้จำเลยครอบครองเป็นเวลานานก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์
จำเลยได้รับมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ไว้ในความครอบครองตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อขายอันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้จะครอบครองเป็นเวลาช้านานเพียงใด จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
การที่โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้แก่จำเลยและเรียกให้จำเลยส่งมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์อันเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายคืนหากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืนจึงไม่มีอายุความ
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจะถอนเสียมิได้ ดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือติดต่อขอส่งมอบลิฟท์ให้แก่จำเลยและขอเก็บเงินงวดสุดท้ายในเวลาต่อมา จึงเป็นเพียงคำเสนอขึ้นใหม่เมื่อไม่มีการสนองตอบจึงไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใดโจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญามัดจำโดยปริยาย การคืนเงินมัดจำและสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
โจทก์จำเลยทำสัญญามัดจำไว้ว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินตามฟ้องจากจำเลยในราคาที่กำหนด โจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง กำหนดโอนกันให้เสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญามัดจำ แต่จะกำหนดวันเดือนใดคู่ความต้องบอกกล่าวความตกลงเห็นพร้อมกัน ในระหว่างกำหนดเวลาดังกล่าวนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้กำหนดวันเดือนใดที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ต่อกันโดยบอกกล่าวความตกลงเห็นพร้อมกัน กล่าวคือโจทก์ไม่ได้ขอชำระหนี้เงินที่ค้างและให้จำเลยโอนที่ดิน ให้จำเลยก็ไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ แสดงว่าคู่สัญญาไม่นำพา ที่จะปฏิบัติตามสัญญาจนกำหนดเวลาตามสัญญานั้นสิ้นสุดลง ฝ่ายใดจะอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหาได้ไม่ การที่คู่กรณีปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยมาโดยมิได้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อมาทางอำเภอเปรียบเทียบแต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จากนั้นก็ไม่มีฝ่ายใด เรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญา พฤติการณ์ของคู่กรณีแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว โจทก์จำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ได้รับไว้และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่าปรับจากจำเลย
โจทก์จำเลยต่างตกลงทำสัญญามัดจำกันใหม่ โดยมีข้อความ ตามสัญญาเดิม และยกเงินมัดจำจำนวนตามสัญญาเดิมมาลงไว้ในสัญญาใหม่แล้ว ต้องถือว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำแล้วตามสัญญาใหม่และปรากฏตามคำให้การของจำเลยโดยชัดแจ้งว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวไว้แล้วด้วย จำเลยจะนำสืบเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญามัดจำโดยปริยายและการคืนเงินมัดจำ กรณีคู่สัญญามีพฤติการณ์ไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญามัดจำไว้ว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินตามฟ้องจากจำเลยในราคาที่กำหนด โจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง กำหนดโอนกันให้เสร็จภายใน 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญามัดจำ แต่จะกำหนดวันเดือนใดคู่ความต้องบอกกล่าวความตกลงเห็นพร้อมกัน ในระหว่างกำหนดเวลาดังกล่าวนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้กำหนดวันเดือนใดที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ต่อกันโดยบอกกล่าวความตกลงเห็นพร้อมกัน กล่าวคือโจทก์ไม่ได้ขอชำระหนี้เงินที่ค้างและให้จำเลยโอนที่ดินให้ จำเลยก็ไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ แสดงว่าคู่สัญญาไม่นำพาที่จะปฏิบัติตามสัญญา จนกำหนดเวลาตามสัญญานั้นสิ้นสุดลง ฝ่ายใดจะอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหาได้ไม่ การที่คู่กรณีปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยมาโดยมิได้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อมาทางอำเภอเปรียบเทียบแต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จากนั้นก็ไม่มีฝ่ายใด เรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญา พฤติการณ์ของคู่กรณีแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว โจทก์จำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ได้รับไว้และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่าปรับจากจำเลย
โจทก์จำเลยต่างตกลงทำสัญญามัดจำกันใหม่ โดยมีข้อความตามสัญญาเดิม และยกเงินมัดจำจำนวนตามสัญญาเดิมมาลงไว้ในสัญญาใหม่แล้วต้องถือว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำแล้วตามสัญญาใหม่ และปรากฏตามคำให้การของจำเลยโดยชัดแจ้งว่าจำเลยได้รับเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวไว้แล้วด้วย จำเลยจะนำสืบเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่
of 66