พบผลลัพธ์ทั้งหมด 396 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาเรื่องแบ่งทรัพย์มรดก จำเลยต้องปฏิบัติตามลำดับในคำพิพากษา
แม้ศาลจะมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดเกี่ยวกับที่ดินมรดกว่าให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วนหรือให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินแก่โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท หรือมิฉะนั้นให้ขายที่ดินทั้งแปลงเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วนก็ตาม ในการบังคับคดีจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำดับของคำพิพากษาทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถจะแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาได้ ดังนี้ จำเลยจะเลือกวิธีการนำเงินค่าที่ดินมาชำระให้โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1978/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหารในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งฝากขัง และผลของการสิ้นสุดการควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดี
พนักงานสอบสวนขอฝากขังผู้ร้องต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 3(ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนควบคุมผู้ร้องเกินอำนาจ เป็นการขังโดยผิดกฎหมายศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าการควบคุมของพนักงานสอบสวนชอบแล้ว จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ร้องได้ ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) สั่งรับอุทธรณ์และส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้ถูกควบคุมหรือขังในระหว่างสอบสวนแล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าพนักงานสอบสวนควบคุมผู้ร้องไว้ชอบหรือไม่ ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ชอบ เพราะคดีนี้ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลทหารในเวลาไม่ปกติ จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหาร และเมื่อผู้ร้องฎีกาต่อมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1978/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหารและการขังเกินอำนาจ: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีขังเกินอำนาจโดยไม่ชอบ และการส่งสำนวนไม่ถูกต้อง
พนักงานสอบสวนขอฝากขังผู้ร้องต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่า พนักงานสอบสวนควบคุมผู้ร้องเกินอำนาจ เป็นการขังโดยผิดกฎหมายศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าการควบคุมของพนักงานสอบสวนชอบแล้ว จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ร้องได้ ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) สั่งรับอุทธรณ์และส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้ถูกควบคุมหรือขังในระหว่างสอบสวนแล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าพนักงานสอบสวนควบคุมผู้ร้องไว้ชอบหรือไม่ ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ชอบ เพราะคดีนี้ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลทหารในเวลาไม่ปกติ จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหาร และเมื่อผู้ร้องฎีกาต่อมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องศาลฎีกาจึงพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนและไม่มีเจตนาทารุณโหดร้าย
ผู้ตายกับจำเลยเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก จำเลยเมาสุราหยอกล้อชกต่อยกับผู้ตาย จำเลยถูกต่อยล้มลง จึงใช้ปืนยิงผู้ตายถูกที่ขา แล้ววิ่งตามไปยิงซ้ำถูกที่คอในเวลาอันกระชั้นชิดแม้จะฟังว่าบิดาผู้ตายได้ขอร้องมิให้จำเลยยิงซ้ำ ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมิใช่เป็นการกระทำโดยทรมานหรือทารุณโหดร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดหลายบท: มียาเสพติดครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามออกนอกประเทศ
จำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 740 กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามนำเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทที่หนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสั่งไล่ลูกจ้างของกรุงเทพมหานคร: การใช้ดุลพินิจทางปกครองและการก้าวก่าย
ระเบียบว่าด้วยลูกจ้างของกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2516 เป็นระเบียบที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายอยู่ที่โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานคร จำเลยก็โดยอาศัยระเบียบดังกล่าว การที่จำเลยเห็นว่าโจทก์ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและสั่งไล่โจทก์ออกจากงานก็โดยอาศัยอำนาจตามระเบียบ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งการตามอำนาจของจำเลยซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายบริหารโดยแท้ โจทก์จึงขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเพิกถอนคำสั่งของจำเลยอันเป็นการก้าวก่ายดุลพินิจตามอำนาจของจำเลยไม่ได้
ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์และปฏิบัตินอกเหนืออำนาจ แต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดหรือไม่
ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์และปฏิบัตินอกเหนืออำนาจ แต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลจากการละเมิดประมวลรัษฎากรและการแยกความผิดแต่ละกรรม
เมื่อฟ้องโจทก์ตอนแรกได้บรรยายว่า จำเลยจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ เพื่อเก็บเงินจากผู้ซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง และได้บรรยายการกระทำตามข้อ (ก)(ข)(ค)และ(ง) กับอ้างมาตราในประมวลรัษฎากร ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดฟ้องโจทก์จึงได้บรรยายแล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องแต่ผู้เดียวและโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดดังนั้น แม้ฟ้องข้อ (ข) บรรยายว่าพนักงานของจำเลยที่ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยเป็นผู้ฉีกตั๋วและข้อ (ค) บรรยายว่าพนักงานของจำเลยไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะโดยไม่กล่าวถึงจำเลยก็พอเห็นได้ว่าการกระทำของพนักงานของจำเลยผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลย เป็นการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของผู้จัดให้มีมหรสพและผู้รับผิดชอบดำเนินการมหรสพนั้นเอง ทั้งข้อเท็จจริงก็ ฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดโดยผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยให้คอยรับตั๋วจากผู้ดู ไม่ฉีกตั๋วที่ได้รับจากผู้ดูแล้วไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะ ทันที อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลรัษฎากร โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ จำเลยรับผิดทางอาญาได้
จำเลยจำหน่ายตั๋วเข้าชมภาพยนตร์โดยมิได้ปิดอากรมหรสพ 346ฉบับ ไม่ฉีกอากรมหรสพที่ปิดทับบนตั๋วให้ขาดเป็นสองตอน 7 ฉบับ และไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะทันที 143 ฉบับ เมื่อการเสียอากรมหรสพ ต้องเสียเป็นรายตัวผู้ดูตามประมวลรัษฎากร มาตรา 132 การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียอากรตั๋วทุก ๆ ฉบับแม้ จะกระทำต่อเนื่องในการฉายภาพยนตร์รอบเดียวก็ตามแต่ก็แยกการกระทำออกจากกันได้ตามตั๋วแต่ละฉบับ จึงเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันรวม 496 กระทง หาใช่เป็นความผิดเพียง 3 กระทงไม่
จำเลยจำหน่ายตั๋วเข้าชมภาพยนตร์โดยมิได้ปิดอากรมหรสพ 346ฉบับ ไม่ฉีกอากรมหรสพที่ปิดทับบนตั๋วให้ขาดเป็นสองตอน 7 ฉบับ และไม่นำกากตั๋วใส่ภาชนะทันที 143 ฉบับ เมื่อการเสียอากรมหรสพ ต้องเสียเป็นรายตัวผู้ดูตามประมวลรัษฎากร มาตรา 132 การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียอากรตั๋วทุก ๆ ฉบับแม้ จะกระทำต่อเนื่องในการฉายภาพยนตร์รอบเดียวก็ตามแต่ก็แยกการกระทำออกจากกันได้ตามตั๋วแต่ละฉบับ จึงเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันรวม 496 กระทง หาใช่เป็นความผิดเพียง 3 กระทงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1836/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีตัวการร่วม การรู้เห็นเป็นใจและการร่วมวางแผนกระทำผิด
จำเลยเข้าชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย แล้วแย่งเอากระเป๋าถือของผู้เสียหายวิ่งไปขึ้นรถแทกซี่ซึ่งจอดรออยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 15 เมตร ในรถมีคนนั่งรออยู่ 2 คน คือคนขับรถและอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งกายเป็นสตรี การที่คนแต่งกายเป็นสตรีนั่งรอจำเลยอยู่ในรถแท็กซี่ของกลางพร้อมคนขับใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุ เฝ้าดูการกระทำของจำเลยตลอดเวลา และหนีไปพร้อมกับจำเลยหลังเกิดเหตุ ทั้งเมื่อพยานโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ติดตามเข้าไปใกล้จำเลยและคนแต่งกายเป็นสตรีหันมามองพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่พอใจที่มีคนติดตามมานั้น พฤติการณ์บ่งชัดว่าคนแต่งกายเป็นสตรีคน ขับรถ และจำเลยรู้เห็นคบคิดร่วมกันมาก่อนคนแต่งกายเป็นสตรีจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้: ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นสัญญา, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่ารับรองที่ไม่สมควร
โจทก์ประกอบกิจการผูกขาดการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์โดยรับมอบหมายจากเทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์ตกลงกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้ แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือสัญญาไว้ จำนวนเงินและกำหนดเวลาที่จะจ่ายก็ไม่แน่นอน โจทก์ตั้งเงินค่าตอบแทนไว้ในบัญชีเป็นเงินค้างจ่ายให้แก่เทศบาลนครกรุงเทพและเทศบาลนครธนบุรีเมื่อถูกทวงถามให้ชำระ โจทก์มีหนังสือตอบไปว่า ยังไม่อาจจ่ายให้ได้เนื่องจากผลการขาดทุนเมื่อมีฐานะการเงินมั่นคงขึ้นก็จะจ่ายให้ต่อไป อันเป็นการผัดชำระหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและเทศบาลทั้งสองแห่งก็ไม่ได้ดำเนินการบังคับเอาชำระหนี้แต่อย่างใดอีก แสดงว่าโจทก์จะจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของโจทก์ฝ่ายเดียว เงินค่าตอบแทน ดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองและเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ตรี (9)(13)
ค่าใช้จ่ายของโจทก์ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการจ่ายตามประเพณีนิยมของการดำเนินกิจการค้านั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นการให้ของขวัญ ของชำร่วย จัดช่วยเหลือในงานเลี้ยง อันมีจุดประสงค์ในการจ่ายเพื่อประโยชน์บุคคลบางคน ไม่ได้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการค้าโดยเฉพาะ โจทก์ทำการค้าตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยบารมีหรืออิทธิพลของบุคคลอื่นใด จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3)
เงินค่ารับรองซึ่งโจทก์อ้างว่าไม่เกินสมควรเพราะไม่ถึงร้อยละหนึ่งของรายได้โจทก์นั้น ปรากฏว่าโจทก์จ่ายเงินแก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย ตำรวจ ทหาร และบุคคลต่าง ๆ เป็นจำนวนมากโดยไม่ปรากฏว่าบุคคลที่รับเงินไปปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการใดให้โจทก์ จึงเป็นค่ารับรองที่เกินสมควร ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (4)
ค่าใช้จ่ายของโจทก์ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการจ่ายตามประเพณีนิยมของการดำเนินกิจการค้านั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นการให้ของขวัญ ของชำร่วย จัดช่วยเหลือในงานเลี้ยง อันมีจุดประสงค์ในการจ่ายเพื่อประโยชน์บุคคลบางคน ไม่ได้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการค้าโดยเฉพาะ โจทก์ทำการค้าตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยบารมีหรืออิทธิพลของบุคคลอื่นใด จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3)
เงินค่ารับรองซึ่งโจทก์อ้างว่าไม่เกินสมควรเพราะไม่ถึงร้อยละหนึ่งของรายได้โจทก์นั้น ปรากฏว่าโจทก์จ่ายเงินแก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย ตำรวจ ทหาร และบุคคลต่าง ๆ เป็นจำนวนมากโดยไม่ปรากฏว่าบุคคลที่รับเงินไปปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการใดให้โจทก์ จึงเป็นค่ารับรองที่เกินสมควร ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองและการหมดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินตามมาตรา 1375
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากนาที่เช่าอันเป็นที่ดินมือเปล่าของโจทก์ปรากฏจากคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ให้พี่เขยไปเก็บค่าเช่าและบอกเลิกการทำนาจำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่าและไม่ยอมออกจากที่พิพาท โดยบอกว่าจำเลยสู้ปกครองเห็นได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันเป็นลักษณะบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงจากการยึดถือครอบครองแทนเป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ เข้าลักษณะแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์ทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาท เพิ่งมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีแล้วโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375