คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทิน เลิศวิรุฬห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 769 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3536/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินเลยฟ้อง: ศาลมิอาจลงโทษจำเลยในข้อหาที่โจทก์มิได้ฟ้องร้อง
โจทก์มิได้ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมีเฮโรอีนที่เป็นคราบติดอยู่ ในหลอดฉีดยาเสพติดให้โทษเข้าร่างกายของกลางแต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนที่ติดเป็นคราบอยู่ในหลอดฉีดยาเสพติด ของกลาง ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษา ในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องเป็นการมิชอบด้วยมาตรา 192 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่ เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และชอบที่จะพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และสิทธิในการรับเงินค่าซื้อขาย
โจทก์จำเลยต่างปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันถูกต้องแล้ว โดยจำเลยได้นำโฉนดที่ดินมาวางศาล ส่วนโจทก์ก็ได้ นำเงิน ค่าซื้อที่ดินมาวางศาลครบถ้วนและได้รับโฉนดที่ดินไปแล้ว แต่ตาม สัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กำหนดวันเดือนปีที่ จะไป จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลย ผิดนัด ไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามที่ระบุ ใน สัญญาประนีประนอมยอมความและถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดนัดด้วย โจทก์จำเลยจึงต้องกำหนดวันนัดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันต่อไป และในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันนั้น แม้จำเลยผู้โอนจะต้องเสียภาษีเงินได้ และหากจำเลยไม่ชำระเจ้าพนักงานที่ดินจะไม่ยอมจดทะเบียนโอนตามที่โจทก์ยื่นคำแถลงก็ตาม ก็เป็น เรื่อง กาลภายภาคหน้า ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการในทางอื่น ต่อไปได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จำเลยมิได้ตกลง กันไว้ ให้โจทก์หักหรือกันเงินค่าภาษีเงินได้ที่จำเลยจะต้องเสีย ออกจากเงิน ค่าซื้อที่ดินที่โจทก์นำมาวางศาลแต่อย่างใด โจทก์จึง หามีสิทธิขอให้ ศาลหักหรือกันเงินดังกล่าวไม่ จำเลยมีสิทธิรับเงิน ไปตาม สัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ร่วมและการครอบครองแทน การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบุตรของโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนบุตรของโจทก์ ทั้งปรากฏจากจดหมายของจำเลยว่าจำเลยลงชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทแทนหุ้นส่วนเท่านั้น แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ จำเลย จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไถ่ถอนจำนอง: ศาลต้องสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงเรื่องหนี้จำนองยังไม่ยุติ การงดสืบพยานแล้วพิพากษาเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน จำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำเสนอชำระหนี้จำนองแก่จำเลย เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา และตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นหนังสือจำเลยที่ตอบโจทก์เรื่องการไถ่ถอนจำนองมีข้อความว่า จำเลยกำลังรอให้สำนักงานใหญ่สั่งการมา ถ้าได้รับการสั่งการให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้ก็จะติดต่อกับโจทก์ทันที ดังนี้ ตามเอกสารท้ายฟ้องและคำให้การจำเลย แสดงว่าจำเลยยังถือว่าหนี้จำนองยังมีอยู่ จึงชอบที่โจทก์จำเลยจะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาคดีไป ย่อมไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับไถ่ถอนจำนอง: การงดสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโดยปรากฏหนังสือจำเลยถึงโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องว่า จำเลยกำลังรอให้สำนักงานใหญ่สั่งการมา ถ้าได้รับการสั่งการให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้ก็จะติดต่อกับโจทก์ทันทีจำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำเสนอชำระหนี้จำนองแก่จำเลย เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาดังนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องและคำให้การจำเลย แสดงว่าจำเลยยังถือว่าหนี้จำนองยังมีอยู่ มิได้ระงับไปดังที่โจทก์กล่าวอ้าง จึงชอบที่โจทก์จำเลยจะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาคดีไป ย่อมไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3424/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักกลบลบหนี้ต้องทำได้เมื่อถึงกำหนดชำระ การอ้างหักกลบลบหนี้ก่อนกำหนดจึงไม่สมบูรณ์
เช็คพิพาทซึ่งห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจำนวนเงิน 100,000บาท โดยจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสลักหลังมาขายลดให้โจทก์ถึงกำหนดชำระเงินในวันที่ 26 กรกฎาคม 2522 ส่วนโจทก์ได้ออกตั๋วแลกเงินให้แก่มารดาจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินดังกล่าวจำนวนเงิน 110,000 บาท ถึงกำหนดชำระเงินในวันที่ 15 สิงหาคม 2522 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2522 จำเลยที่ 2 ขอหักกลบลบหนี้ตามเช็คกับหนี้ตามตั๋วแลกเงิน ซึ่งหนี้ทั้งสองยังไม่ถึงกำหนดชำระกรณีจึงไม่อาจบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ได้ จำเลยไม่อาจนำหนี้ตามตั๋วแลกเงินหักกลบลบหนี้ตามเช็คพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของรองผู้อำนวยการโดยตำแหน่งหน้าที่ และความรับผิดของนายจ้างกับผู้รับประกันภัย
หนังสือมอบอำนาจของโจทก์มีข้อความมอบอำนาจให้รองผู้อำนายการ(บริหาร) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องคดีความทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับองค์การโจทก์ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา แม้จะเป็นการมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการ(บริหาร) โดยตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมิได้เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ตาม ก็มีผลใช้บังคับได้ บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ (บริหาร) จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของรองผู้อำนวยการ (บริหาร) ที่ได้รับมอบอำนาจจากองค์การ และความรับผิดของจำเลยในคดีละเมิด
หนังสือมอบอำนาจของโจทก์มีข้อความมอบอำนาจให้รองผู้อำนายการ (บริหาร) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการ ในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องคดีความทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับองค์การโจทก์ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา แม้จะเป็นการมอบอำนาจให้รองผู้อำนวยการ(บริหาร) โดยตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมิได้เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ตาม ก็มีผลใช้บังคับได้ บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ (บริหาร) จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3377/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยร่วมและการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยร่วมให้การว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุกับจำเลยร่วม จำเลยร่วมรับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 3 เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยร่วมก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำให้การของจำเลยร่วมเป็นปรปักษ์ทั้งต่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย จำเลยร่วมก็ได้อุทธรณ์ว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ในชั้นอุทธรณ์คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยร่วม จำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าเป็นจำเลยอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยร่วมเฉพาะโจทก์ ไม่ส่งแก่จำเลยที่ 2ด้วย จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 235ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปโดยมิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ไขให้ถูกต้อง ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 247 ประกอบด้วย มาตรา 243(2) และการส่งสำเนาอุทธรณ์จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 229 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ขึ้นมา ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง หากศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้ขายฟิล์ม การฟ้องและเบิกความของจำเลยจึงไม่เป็นเท็จ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาว่าโจทก์เบียดบังเอาฟิล์มภาพยนตร์รายพิพาทของจำเลยไปโดยทุจริต และจำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีนั้นว่าโจทก์ได้ขอยืมฟิล์มภาพยนต์ไปจากจำเลย ซึ่งความจริงจำเลยได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ให้โจทก์และได้รับชำระราคาจากโจทก์ไปแล้ว อันเป็นมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีอาญาขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จโดยอ้างว่าความจริงจำเลยได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ให้โจทก์และได้รับชำระราคาจากโจทก์ไปแล้วอย่างเดียวกับที่โจทก์อ้างในคดีนี้คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวนอกจากผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลยังจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องฟังยุติแล้วว่าจำเลยไม่ได้ขายฟิล์มภาพยนตร์รายพิพาทให้โจทก์และได้รับชำระราคาจากโจทก์ การฟ้องและการเบิกความของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดหรือเท็จด้วย การพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ศาลจึงต้องถือตามฟ้องโจทก์ในส่วนแพ่งที่หาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์และเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณานั้นจึงตกไป
of 77