พบผลลัพธ์ทั้งหมด 609 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บริษัทประกันภัยไม่อาจรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ประมาทเองได้ แม้จะจ่ายเงินชดใช้ให้
ช. ขับรถยนต์ชนกับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ลูกจ้างเป็นผู้ขับขี่ไปในทางการที่จ้าง ช. ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษฐานขับรถยนต์ประมาทเป็น เหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย คดีถึงที่สุด ดัง นั้น ช. ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายได้จากจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์ซึ่งรับประกันภัย รถยนต์ไว้จาก ช. จะได้ชำระเงินให้แก่ ช. ไป ก็เป็นการปฏิบัติไปตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทำไว้กับ ช. แต่หาอาจก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะรับช่วงสิทธิ จาก ช. นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดต่อ โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 นั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ผิดพลาด: สิทธิการเช่าโทรศัพท์ของผู้เช่าไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย การขอปล่อยทรัพย์ต้องยื่นก่อนขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การที่โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์แล้วทำการขายทอดตลาดไปนั้น เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะผู้ร้องเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าโทรศัพท์ โดยเป็นผู้เช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย สิทธิการเช่าดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดนั้น คำร้องของผู้ร้องดังกล่าวมีผลเท่ากับการขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด ซึ่งผู้ร้องจะต้องยื่นก่อนมีการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และมิใช่เป็นกรณีเกี่ยวกับการขายทอดตลาดอันฝ่าฝืนกฎหมายของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296 วรรคสอง
ศาลมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้วต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์และจำเลย ความปรากฏต่อศาลว่าการสั่งรับคำร้องมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ศาลก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสียได้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ให้อำนาจไว้ และในกรณีเช่นนี้ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ออกหมายเรียก และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
ศาลมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้วต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์และจำเลย ความปรากฏต่อศาลว่าการสั่งรับคำร้องมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ศาลก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสียได้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ให้อำนาจไว้ และในกรณีเช่นนี้ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ออกหมายเรียก และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ที่มิใช่ของจำเลย และการเพิกถอนคำสั่งรับคำร้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การที่โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์แล้วทำการขายทอดตลาดไปนั้น เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะผู้ร้องเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าโทรศัพท์ โดยเป็นผู้เช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย สิทธิการเช่าดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดนั้น คำร้องของผู้ร้องดังกล่าวมีผลเท่ากับการขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด ซึ่งผู้ร้องจะต้องยื่นก่อนมีการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และมิใช่เป็นกรณีเกี่ยวกับการขายทอดตลาดอันฝ่าฝืนกฎหมายของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง
ศาลมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์และจำเลย ความปรากฏต่อศาลว่าการสั่งรับคำร้องมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ศาลก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสียได้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ให้อำนาจไว้ และในกรณีเช่นนี้ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ออกหมายเรียก และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
ศาลมีคำสั่งรับคำร้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์และจำเลย ความปรากฏต่อศาลว่าการสั่งรับคำร้องมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ศาลก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสียได้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ให้อำนาจไว้ และในกรณีเช่นนี้ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ออกหมายเรียก และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231-2232/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างในที่ดินของตนเองไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะกระทบต่อการใช้สิทธิของผู้อื่น หากเป็นการใช้สิทธิโดยชอบ
จำเลยปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่งเพื่อขายพร้อมที่ดินโดยด้านหลังของตึกแถวหันเข้าหาด้านหลังตึกแถวของโจทก์แต่เว้นช่องว่างด้านหลังอาคารไม่ถึง 2 เมตรตามแบบแปลนจำเลยได้ก่อสร้างกำแพงติดผนังตึกห้องครัวโจทก์ด้านหลังและด้านข้าง และเทพื้นคอนกรีตสูงขึ้น ทำให้ประตูครัวด้านหลัง และประตูด้านข้างตึกแถวโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งช่องลมห้องครัวด้านหลังถูกปิดด้วยนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำลงในที่ดินส่วนของจำเลยเอง เป็นการใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยทรัพย์สินของจำเลยโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทั้งรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231-2232/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิในที่ดินของตนเองไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น หากไม่มีเจตนาหรือประมาทเลินเล่อ
จำเลยปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง เพื่อขายพร้อมที่ดิน โดยด้านหลังของตึกแถวหันเข้าหาด้านหลังตึกแถวของโจทก์ แต่เว้นช่องว่างด้านหลังอาคารไม่ถึง 2 เมตรตามแบบแปลน จำเลยได้ก่อสร้างกำแพงติดผนังตึกห้องครัวโจทก์ด้านหลังและด้านข้าง และเทพื้นคอนกรีตสูงขึ้น ทำให้ประตูครัวด้านหลัง และประตูด้านข้างตึกแถวโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งช่องลมห้องครัวด้านหลังถูกปิดด้วยนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำลงในที่ดินส่วนของจำเลยเอง เป็นการใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยทรัพย์สินของจำเลยโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทั้งรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: การพิพากษาคดีละเมิดต้องสอดคล้องกับผลคดีอาญา
มูลละเมิดต่อโจทก์ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกับที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยกระทำผิด พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังที่จะลงโทษจำเลย ได้คดีถึงที่สุด ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่าจำเลยมิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคดีแพ่งผูกพันตามข้อเท็จจริงคดีอาญา หากคู่ความเป็นผู้เสียหายเดียวกัน
มูลละเมิดต่อโจทก์ในคดีนี้เป็นการกระทำอันเดียวกับที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาท ซึ่งในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยกระทำผิดพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังที่จะลงโทษจำเลยได้ คดีถึงที่สุด ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่าจำเลยมิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านของโจทก์โดยประมาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหากระทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านโจทก์โดยประมาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายใน คดีอาญาดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงต้องผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 เป็นบทบัญญัติถึงการพิพากษาคดีส่วนแพ่งในความรับผิดเรื่องละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนว่าจะต้องดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายส่วนแพ่ง โดยมิต้องคำนึงถึงบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ เป็นคนละกรณีกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแท้จริงของคู่สัญญา แม้ชื่อผู้เอาประกันภัยในกรมธรรม์ผิดพลาด ก็ยังถือเป็นคู่สัญญาได้
โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์รายพิพาทไว้กับจำเลย แต่กรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาดไป กรณีถือได้ว่าจำเลยกับโจทก์มีเจตนาอันแท้จริงที่จะผูกพันต่อกันในฐานะคู่สัญญา เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแท้จริงของคู่สัญญา แม้ชื่อผู้เอาประกันภัยในกรมธรรม์ผิดพลาด ก็ยังถือเป็นคู่สัญญาได้
โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์รายพิพาทไว้กับจำเลย แต่กรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาดไป กรณีถือได้ว่าจำเลยกับโจทก์มีเจตนาอันแท้จริงที่จะผูกพันต่อกันในฐานะคู่สัญญา เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2139/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประนีประนอมยอมความยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่ถือเป็นสัญญาจะซื้อขาย แม้มีการวางมัดจำ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกได้
ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ว่า จำเลยจะซื้อที่ดินพิพาทตามที่นำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน ราคาตารางวาละ 7,000 บาท รายละเอียดอื่นจะตกลงกันต่อไป เนื้อที่ดินที่จะซื้อขายให้ถือตามที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดใหม่ จำเลยได้ชำระมัดจำให้โจทก์ไว้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง และยังบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นในการที่จะยอมความกันไว้อีกสี่ข้อ ต่อมาตกลงกันเรื่องเนื้อที่ดินและการชำระราคาไม่ได้ เพราะในการแบ่งแยกโฉนดใหม่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องกันที่ดินริมคลองไว้ตามระเบียบเพื่อประโยชน์แก่ราชการกรมชลประทาน ดังนี้ ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาท และการประนีประนอมยอมความยังหาได้ยุติลงไม่ โจทก์หรือจำเลยย่อมมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงเบื้องต้นที่ได้กระทำกันมาแล้วเสียได้ และจะถือเอาข้อตกลงนั้นว่ามีผลเป็นสัญญาจะซื้อขายหาได้ไม่ เมื่อโจทก์บอกเลิกข้อตกลงเสียแล้วเช่นนี้ ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามประเด็นข้อพิพาท