พบผลลัพธ์ทั้งหมด 609 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิเรียกร้องจากเช็คหลังล้มละลาย: เช็คที่ออกหลังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ไม่อาจใช้ขอรับชำระหนี้ได้
                        
                        มูลหนี้ที่ลูกหนี้ผู้ล้มละลายออกเช็คชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่มีอยู่ต่อกัน เพราะไม่ได้รับชำระหนี้เป็นเช็คตามคำขอชำระหนี้จากลูกหนี้ผู้ล้มละลายโดยตรงแต่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเช็คจาก ท. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โดย ท. ได้รับเช็ครายนี้มาจากลูกหนี้ผู้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ที่มีต่อกันอย่างไรไม่ปรากฏ ดังนี้ เจ้าหนี้จึงคงมีสิทธิในมูลหนี้ตามเช็คในฐานะผู้ทรงเช็คนั้นได้ตั้งแต่วันที่ถึงกำหนดสั่งจ่ายที่เขียนระบุไว้ในเช็คเท่านั้นเช็คลงวันที่สั่งจ่าย 22 ธันวาคม 2521 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2521มูลหนี้ตามเช็คที่ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในฐานะผู้ทรงจึงเกิดขึ้นภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิที่จะอาศัยมูลหนี้ตามเช็คที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมาขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษา: ต้องพิสูจน์เจตนาจำเลยโอนทรัพย์สิน
                        
                        โจทก์ร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นการยื่นคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254(1) ซึ่งโจทก์มีหน้าที่จะต้องนำสืบจนเป็นที่พอใจของศาลว่า จำเลยตั้งใจจะโอนขาย หรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือยักย้ายไปเสียให้พ้นจากอำนาจศาล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 255 วรรคสอง (ก) ไม่ใช่กรณีตามมาตรา 264โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินอันเป็นสินค้าที่จำเลยมีอยู่ในร้านค้าของจำเลยเท่านั้นยังไม่มีเหตุเพียงพอที่ศาลจะสั่งให้ยึดทรัพย์สินจำเลยตามคำขอได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ถูกยึด: คำวินิจฉัยเดิมผูกพันคู่ความเดิม แม้จะมีการฟ้องร้องซ้ำ
                        
                        ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าบ้านพร้อมโรงเก็บไม้แปรรูป  และร้านค้าไม้แปรรูปซึ่งปลูกอยู่ติดกัน  ที่ผู้ร้องเอาไปประกันภัยไว้เป็นของจำเลย  และฟังว่าจำเลยเชิดให้ผู้ร้องเป็นตัวแทนเอาทรัพย์สินของจำเลยดังกล่าวไปประกันภัยเงินค่าประกันภัยจึงตกเป็นของจำเลย  ไม่ใช่ของผู้ร้อง  ดังนี้  แม้จะเป็นการวินิจฉัยถึงเงินค่าประกันภัยว่าจะตกได้แก่ใครก็ตาม  ก็ต้องวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยว่าเป็นของใคร เพื่อนำไปสู่ปัญหาว่าผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในการเอาประกันภัยหรือไม่ด้วย เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่เอาประกันภัยเป็นของจำเลย  ข้อวินิจฉัยดังกล่าวจึงผูกพันผู้ร้องคดีนี้  เพราะเป็นคู่ความเดียวกัน  ผู้ร้องจะมาร้องให้ศาลวินิจฉัยอีกว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องไม่ได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การริบของกลางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิด หากไม่ปรากฏความเชื่อมโยง ศาลไม่ริบได้
                        
                        จำเลยขายน้ำปลา 1 ขวด  ที่มีป้ายแสดงราคาไว้ 9 บาท 50 สตางค์  ให้แก่ผู้เสียหายในราคา 10 บาท ตำรวจไปตรวจค้นยึดน้ำปลาของกลาง 31 ขวด ภายหลังจากการกระทำผิดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าของกลางเกี่ยวเนื่องกับน้ำปลา 1 ขวด ที่ขายเกินราคาควบคุม  หรือได้ยึดมาเป็นของกลางรวมกับของกลาง 31 ขวด นี้ด้วยจึงยังฟังไม่ได้ว่าน้ำปลาของกลาง  เป็นโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดของจำเลยอันจะต้องริบ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ค่าขึ้นศาลคดีขายฝาก: คำนวณจากทุนทรัพย์เต็มจำนวน ไม่ใช่ยอดค้างชำระ แม้มีการอุทธรณ์คำสั่ง
                        
                        โจทก์ฟ้องว่าขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยเป็นเงิน 800,000 บาท โจทก์ชำระค่าไถ่ถอนแล้ว 400,000 บาท  ขอให้บังคับจำเลยรับสิทธิไถ่ถอนที่ดินที่ขายฝากจากโจทก์  แล้วจดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่เคยรับเงินจำนวนดังกล่าว  โจทก์ไม่ไถ่ถอนที่ดินภายในกำหนด  ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว  ดังนี้ เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามราคาที่ดินที่พิพาท  ต้องเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท 800,000 บาทไม่ใช่ 400,000 บาท ตามที่อ้างว่าค้างชำระ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ต่อมาได้ขยายระยะเวลาให้อีก 15 วัน ก่อนครบกำหนดโจทก์ขอขยายระยะเวลาไปอีก 30 วัน อ้างเหตุว่าได้อุทธรณ์คำสั่งศาลที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลแล้วในวันเดียวกับที่ยื่นคำร้อง เหตุผลในคำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ ดังนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ได้
                                    ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ต่อมาได้ขยายระยะเวลาให้อีก 15 วัน ก่อนครบกำหนดโจทก์ขอขยายระยะเวลาไปอีก 30 วัน อ้างเหตุว่าได้อุทธรณ์คำสั่งศาลที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลแล้วในวันเดียวกับที่ยื่นคำร้อง เหตุผลในคำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ ดังนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อำนาจฟ้องชอบด้วยกฎหมาย และความรับผิดในสัญญาจัดหาวัสดุ
                        
                        โจทก์นำสำเนาหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครซึ่งออกให้จำเลยมาติดไว้ท้ายคำฟ้อง  หนังสือดังกล่าวนั้นรับรองว่า ป. และ อ. มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ได้ ดังนี้ การที่ ป. และ อ. ลงชื่อแต่งทนายความให้ฟ้องคดีแทนบริษัทโจทก์  จึงเป็นการแต่งทนายความโดยชอบ ทนายความที่ได้รับแต่งตั้งลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้  ส่วนโจทก์จะมีสิทธินำสำเนาหนังสือของจำเลยไปใช้ได้หรือไม่  เป็นอีกปัญหาหนึ่งไม่เป็นเหตุให้อำนาจฟ้องของโจทก์เสียไป
จำเลยจ้างโจทก์ขึงสายไฟฟ้า โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาวัสดุดึงสายไฟฟ้าให้เป็นม้วน ๆ พันอยู่ที่ล้อไม้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยต้องจัดหาสายไฟฟ้าซึ่งพันอยู่กับล้อไม้เป็นม้วน ๆ ให้โจทก์ล้อไม้จึงไม่ใช่เครื่องมือที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจัดหาตามสัญญา ดังที่จำเลยให้การต่อสู้ เมื่อล้อไม้ขาดไป และโจทก์ได้ซื้อล้อไม้สำหรับพันสายไฟฟ้าแทนจำเลย จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าล้อไม้ให้โจทก์
                                    จำเลยจ้างโจทก์ขึงสายไฟฟ้า โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาวัสดุดึงสายไฟฟ้าให้เป็นม้วน ๆ พันอยู่ที่ล้อไม้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยต้องจัดหาสายไฟฟ้าซึ่งพันอยู่กับล้อไม้เป็นม้วน ๆ ให้โจทก์ล้อไม้จึงไม่ใช่เครื่องมือที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจัดหาตามสัญญา ดังที่จำเลยให้การต่อสู้ เมื่อล้อไม้ขาดไป และโจทก์ได้ซื้อล้อไม้สำหรับพันสายไฟฟ้าแทนจำเลย จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าล้อไม้ให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความประมาทเลินเล่อทั้งสองฝ่าย ค่าเสียหายเป็นพับกันไป จำเลยไม่ต้องรับผิด
                        
                        เมื่อคนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างขับรถชนกันโดยความประมาทเลินเล่อมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่าๆ กันค่าเสียหายย่อมเป็นพับกันไปจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 626/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            คำสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและจำหน่ายคดีชั่วคราว เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่รับอุทธรณ์และฎีกา
                        
                        ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้องและให้จำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราว เพื่อรอฟังผลคดีถึงที่สุดในคดีอื่นคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังกล่าว และ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ รับอุทธรณ์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ให้ถือเป็นที่สุดต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา198ทวิ
                                    ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังกล่าว และ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ รับอุทธรณ์แล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ให้ถือเป็นที่สุดต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา198ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            กรมตำรวจมีหน้าที่รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินที่กองสวัสดิการในสังกัดทำแทน แม้จะอ้างว่าเกินอำนาจ
                        
                        กองสวัสดิการ กรมตำรวจ ด้วยการรู้เห็นยินยอมของกรมตำรวจเคยจัดสรรที่ดินให้ประชาชนโดยทั่วๆ ไปเช่าซื้อ เมื่อ  ผู้เช่าซื้อชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้  สำหรับที่ดินรายพิพาทนี้ ก่อนที่จะนำออกจัดสรรได้ประกาศโฆษณาให้ประชาชนได้ทราบโดยเปิดเผย โจทก์เชื่อ โดยสุจริตว่ากองสวัสดิการมีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรที่ดิน ให้เช่าซื้อได้ จึงได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินพิพาทกับ กองสวัสดิการ และได้ชำระเงินโดยครบถ้วน แต่ทาง กองสวัสดิการไม่สามารถโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้เพราะ เจ้าหน้าที่ทุจริต กรมตำรวจจึงได้มีคำสั่งให้รีบดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์และผู้เช่าซื้อที่ชำระราคาที่ดินครบถ้วน ดังนี้ต่อมากรมตำรวจจะปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อโดยอ้างว่าไม่รู้และยินยอมให้กองสวัสดิการเชิดตัวเองออกแทนกรมตำรวจในการทำสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่
กรมตำรวจรู้และยินยอมให้กองสวัสดิการซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์แทน และได้รับ ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย ดังนี้จะปฏิเสธความรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์เพราะเหตุกองสวัสดิการผิดสัญญา โดยอ้าง ว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์และนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ของกรมตำรวจหาได้ไม่
                                    กรมตำรวจรู้และยินยอมให้กองสวัสดิการซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์แทน และได้รับ ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย ดังนี้จะปฏิเสธความรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์เพราะเหตุกองสวัสดิการผิดสัญญา โดยอ้าง ว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์และนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ของกรมตำรวจหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 561-562/2524
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อายุความมรดก: การครอบครองมรดกโดยทายาทและคู่สมรส, ผลต่อการฟ้องแบ่งมรดก
                        
                        ม. ถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 ร. สามี ม. ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่มรดกของ ม. ร่วมกับ  จำเลยซึ่งเป็นภริยาคนใหม่ของ ร.จนกระทั่งร. ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 3 มกราคม 2517 แล้วโจทก์สำนวนแรกจึงมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทครอบครองมรดกของ ร. เพื่อขอแบ่งมรดกของ ม. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2518 พ้นกำหนด 1 ปี ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 แล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ ร. ซึ่งครอบครองที่พิพาทย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์สำนวนแรกได้จำเลยเป็นคู่สมรสและเป็นทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิรับมรดกของร. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 และ 1635 จึงชอบที่จะใช้สิทธิของ ร. ยกอายุความมรดก  ขึ้นต่อสู้โจทก์สำนวนแรกได้ตามมาตรา 1755