คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิศิษฏ์ เทศะบำรุง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 609 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและการใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีนอกเขตอำนาจ – ศาลอาญาประทับฟ้องแล้วเพิกถอนคำสั่งไม่ได้
โจทก์ยื่นฟ้องคดีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงต่อศาลอาญา ศาลอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้อง สั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) ตามที่แก้ไขแล้วศาลอาญาจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมโดยเห็นว่า สั่งไปเพราะผิดหลงเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลอีกหาได้ไม่(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสระหว่างคู่สมรสที่สมรสก่อนและหลังใช้ พ.ร.บ. บรรพ 5 ฉบับใหม่ การใช้กฎหมายที่ใช้บังคับ
เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ฉบับปี พ.ศ. 2477) แต่ตายจากกันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ฉบับปี พ.ศ. 2519) แล้ว การแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องนำกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ขณะสมรสมาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสก่อน-หลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง: กฎหมายที่ใช้บังคับเมื่อสามีภริยาสมรสก่อนและเสียชีวิตหลังใช้กฎหมายใหม่
เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5(ฉบับปี พ.ศ.2477) แต่ตายจากกันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ฉบับปี พ.ศ.2519)แล้ว การแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องนำกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ขณะสมรสมาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอาญาในการรับฟ้องคดีความผิดนอกเขตอำนาจ และการใช้ดุลพินิจรับฟ้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) บัญญัติว่า "เมื่อจำเลยมีที่อยู่ฯลฯ ในท้องที่หนึ่งนอกเขตศาลดังกล่าวแล้ว จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้นอยู่เขตอำนาจก็ได้" นั้น มิใช่เป็นบทบังคับให้ศาลซึ่งท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ ในเขตอำนาจจะรับชำระคดีนั้นหรือไม่ก็ได้ ความผิดที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลอาญา แต่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลอาญา เมื่อผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลจึงมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจรับหรือไม่รับคดีนั้นไว้พิจารณาก็ได้
การที่ศาลอาญาสั่งในคำฟ้องของโจทก์ว่า "นัดไต่สวนให้โจทก์นำส่งหมายนัด...." ยังถือไม่ได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับคดีของโจทก์ไว้ชำระแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ศาลอาญาสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการที่ศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและการใช้ดุลพินิจรับคดีอาญาที่ความผิดเกิดนอกเขตอำนาจ แต่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) บัญญัติว่า "เมื่อจำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ ในท้องที่หนึ่งนอกเขตศาลดังกล่าวแล้ว จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้นอยู่เขตอำนาจก็ได้" นั้น มิใช่เป็นบทบังคับให้ศาลซึ่ง ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ อยู่ในเขตอำนาจจะต้องรับชำระคดีนั้น ๆ แต่เป็นบทบัญญัติให้ดุลพินิจแก่ศาลซึ่งท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ ฯลฯ ในเขตอำนาจจะรับชำระคดีนั้นหรือไม่ก็ได้ ความผิดที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลอาญา แต่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาลอาญา เมื่อผู้เสียหายเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ศาลจึงมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจรับหรือไม่รับคดีนั้นไว้พิจารณาก็ได้
การที่ศาลอาญาสั่งในคำฟ้องของโจทก์ว่า "นัดไต่สวนให้โจทก์นำส่งหมายนัด" ยังถือไม่ได้ว่าศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับคดีของโจทก์ไว้ ชำระแล้ว ด้วยเหตุนี้ที่ศาลอาญาสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่ง ไม่ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการที่ศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจสั่งตามอำนาจที่มีอยู่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2523)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับใช้ข้อสัญญาเบี้ยปรับ: การส่งมอบสินค้าไม่ครบถ้วน vs. ไม่ส่งมอบเลย
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ใจความว่า ผู้ขายได้นำเงินจำนวนร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของมามอบไว้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ซื้อ จะริบเงินจำนวนนี้ข้อ 8 มีความว่าถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมอบให้แก่ผู้ซื้อ เป็นการถูกต้องภายในกำหนด ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบ และข้อ 9 ความว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 8 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาด้วยเหตุใด ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อผู้ขายยอมรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง เช่นนี้ข้อ 7 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลยข้อ 8 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อ แต่ส่งมอบไม่ครบถ้วน หรือ ถูกต้องตามสัญญาส่วนข้อ 9 ถ้าผู้ซื้อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขายผู้ขายต้องรับผิดด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยผู้ขายผิดสัญญาไม่ได้ส่งมอบสิ่งของ ให้แก่โจทก์ผู้ซื้อเลย โจทก์จึงมีสิทธิเพียงแต่ริบเงินที่จำเลยนำมาวาง ตามสัญญาข้อ 7 เท่านั้นจะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญาข้อ 8 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับใช้ข้อสัญญาซื้อขาย: การริบเงินประกัน vs. เบี้ยปรับ กรณีผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้า
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ใจความว่า ผู้ขายได้นำเงินจำนวนร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของมามอบไว้ให้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ซื้อจะริบเงินจำนวนนี้ ข้อ 8 มีความว่าถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมอบให้แก่ผู้ซื้อเป็นการถูกต้องภายในกำหนด ผู้ขายย่อมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบ และข้อ 9 ความว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 8 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาด้วยเหตุใดๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ ผู้ขายยอมรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง เช่นนี้ ข้อ 7 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลย ข้อ 8 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อ แต่ส่งมอบไม่ครบถ้วน หรือถูกต้องตามสัญญาส่วนข้อ 9 ถ้าผู้ซื้อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย ผู้ขายต้องรับผิดด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยผู้ขายผิดสัญญาไม่ได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์ผู้ซื้อเลย โจทก์จึงมีสิทธิเพียงแต่ริบเงินที่จำเลยนำมาวาง ตามสัญญาข้อ 7 เท่านั้นจะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญาข้อ 8 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษทางอาญาฐานทำไม้และมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาวินิจฉัยการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่และการเพิ่มโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยาง กับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม่หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิดและมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษกับอ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4)พ.ศ.2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยางยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงแต่โจทก์มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 กับพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่6) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา31 และมาตรา 69 อยู่นั่นเองการที่จำเลยกระทำความผิดหลังจากใช้กฎหมายซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่แล้วแต่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2522 ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษทางอาญาฐานทำไม้และมีไม้หวงห้าม โดยศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับไม่ถูกต้อง และการเพิ่มโทษจำคุกในชั้นฎีกาทำไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยาง กับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้าม ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ ได้ระบุอ้าง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิดและมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษ กับอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยาง ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงแต่โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2489 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา 31 และ มาตรา 69 อยู่นั่นเอง การที่จำเลยกระทำความผิดหลังจากใช้กฎหมายซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่แล้ว แต่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่า อัตราโทษขั้นต่ำ ตามที่กฎหมายกำหนดที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่า ที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840-1841/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับโอนที่ดินไม่ต้องรับผิดในสัญญาเช่าเดิม หากผู้โอนเป็นฝ่ายผิดสัญญา และไม่มีข้อตกลงใหม่กับผู้รับโอน
การที่จำเลยทั้งสามรับโอนกรรมสิทธิที่ดินจาก พ. ภายหลังที่ พ. ได้กระทำผิดสัญญาไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่โจทก์เช่าเป็นเวลาหลายปี โดยไม่ปรากฏว่าได้มีข้อตกลงดังกล่าวขึ้นใหม่ ระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ จำเลยทั้งสาม จึงไม่ได้กระทำผิดสัญญาข้อไม่ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง บนที่ดินที่เช่าต่อโจทก์ และจำเลยทั้งสามผู้รับโอนกรรมสิทธิที่ดินที่ให้เช่าหาจำต้องรับเอาความรับผิดในความเสียหายต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หา พ. ผู้รับโอนได้มีอยู่ต่อโจทก์ เป็นของจำเลยด้วยตาม มาตรา 569 วรรคสองแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเหตุความรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่า
of 61