พบผลลัพธ์ทั้งหมด 557 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะจากละเมิด ผู้ตายมีฐานะยากดีมีจนอย่างไรไม่สำคัญ
จำเลยเป็นฝ่ายทำละเมิดทำให้สามีโจทก์และบิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย เมื่อสามีตายภริยาย่อมขาดไร้อุปการะจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 และเมื่อบิดาตายบุตรผู้เยาว์ก็ย่อมขาดไร้อุปการะจากบิดาตามมาตรา 1564โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นภริยาและบุตรผู้เยาว์ของผู้ตายจึงย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสามโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้ตายจะมีฐานะยากดีมีจนอย่างไรเพราะเป็นสิทธิที่ผู้เสียหายจะพึงได้รับชดใช้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2175/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน ยุติข้อพิพาท แม้จะมีข้อโต้แย้งเรื่องความผิดสัญญาหรือความเสียหาย
จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารเรียน โจทก์ใช้เหล็กเส้นผิดขนาดจากที่กำหนดไว้ในแบบในการก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าว โจทก์จึงบันทึกข้อความไว้ว่ายอมให้จำเลยหักเงินเป็นค่าปรับตามจำนวนที่จำเลยกำหนดไว้ได้และจำเลยยินยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไป โดยไม่ต้องรื้ออาคารที่ก่อสร้างไปแล้ว ดังนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเบี้ยปรับที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 แต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยมาทำความตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้วซึ่งมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยย่อมมีสิทธิหักเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ ปัญหาว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่หรือจำเลยเสียหายมากน้อยเพียงใด ย่อมเป็นอันยุติไปแล้วโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีเหตุที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาอีก
การที่โจทก์บันทึกไว้ว่ายินดีให้หักเงินจำนวน 119,412 บาทก่อนหมายความว่าโจทก์ยอมให้หักไว้ก่อนตามจำนวนดังกล่าว โดยโจทก์ยินดีรับไปเฉพาะส่วนที่เหลือจากหักแล้ว
การที่โจทก์บันทึกไว้ว่ายินดีให้หักเงินจำนวน 119,412 บาทก่อนหมายความว่าโจทก์ยอมให้หักไว้ก่อนตามจำนวนดังกล่าว โดยโจทก์ยินดีรับไปเฉพาะส่วนที่เหลือจากหักแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164-2173/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเล่นแชร์ดอกตาม: สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยของผู้รับเงินในงวดหลัง
การเล่นแชร์ประเภทดอกตาม คือผู้ที่เปียได้ไปแล้วจะต้องส่งดอกเบี้ยพร้อมกับต้นเงินแชร์เป็นงวด ๆ จนกว่าจะครบกำหนดนั้น ผู้เล่นที่มีสิทธิรับเงินในงวดต่อ ๆ ไปย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยในการประมูลครั้งก่อน ๆ เป็นผลประโยชน์ตอบแทน การให้ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงอย่างหนึ่งของสัญญาเล่นแชร์ ผู้มีสิทธิรับค่าแชร์ในภายหลังย่อมมีสิทธิเรียกได้ตามสัญญานั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมูลหนี้ในคดีกู้ยืมเงิน ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น หากเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทว่าจำเลยกู้เงินหรือไม่
ก่อนเริ่มสืบพยาน ศาลชั้นต้นได้ให้จำเลยตรวจดูสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยแถลงว่าจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญาและลงชื่อเป็นผู้กู้จริงแต่หนี้ตามสัญญาเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้จำนวนหนึ่งที่จำเลยกู้เงินโจทก์ และโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือน จำเลยไม่มีเงินชำระจึงทำสัญญากู้ให้ไว้ การที่จำเลยนำสืบถึงมูลหนี้ว่าเป็นมาอย่างไรนั้น ก็เพื่อแสดงว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินและรับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า จำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่นั่นเอง จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเบิกความเท็จ: ผู้เสียหายต้องเป็นคู่ความในคดีที่ถูกเบิกความเท็จ
ความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,181 เป็นความผิดในประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ลักษณะ 3 หมวด 1 ว่าด้วยความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมซึ่งกฎหมายมุ่งคุ้มครองเจ้าพนักงานในการยุติธรรมและคู่ความให้ได้รับผลในทางความยุติธรรมเป็นสำคัญ ไม่เกี่ยวกับบุคคลนอกคดีนอกจากนี้ยังต้องพิจารณาอีกด้วยว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยหรือไม่
โจทก์ในคดีนี้ (เป็นทนายความจำเลย) ไม่ได้ถูกฟ้องคดีอาญาเรื่องบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และเสื่อมเสียเสรีภาพนั้นด้วย ฉะนั้น แม้จำเลยจะเบิกความในคดีนั้นว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่โจทก์จะได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากคำเบิกความของจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28
โจทก์ในคดีนี้ (เป็นทนายความจำเลย) ไม่ได้ถูกฟ้องคดีอาญาเรื่องบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และเสื่อมเสียเสรีภาพนั้นด้วย ฉะนั้น แม้จำเลยจะเบิกความในคดีนั้นว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่โจทก์จะได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากคำเบิกความของจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขาย ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ
โจทก์มีเจตนาจะขายที่พิพาทให้แก่จำเลยเพียงครึ่งหนึ่งแต่ลงลายมือชื่อทำนิติกรรมขายที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลย การทำนิติกรรมดังกล่าวเกิดจากความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 โจทก์มีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่านาเมื่อผู้ให้เช่าขายที่ดิน - การแจ้งการขายตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 41 วรรคแรกบัญญัติว่า "ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาซึ่งเช่านาแปลงนั้นทราบ พร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน...." เช่นนี้ ที่โจทก์เถียงว่าไม่จำเป็นจะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่านาทราบ จึงฟังไม่ขึ้น
ต. เจ้าของที่ดินพิพาททำหนังสือสัญญาจะขายให้แก่โจทก์แต่เมื่อยังไม่ได้ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่านาให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ และจำเลยที่1ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเป็นหนังสือว่าจะไม่ซื้อที่ดินพิพาทตามมาตรา 41 วรรคสามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ต. ผู้ให้เช่าไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นนี้โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ต. ได้ไม่
ต. เจ้าของที่ดินพิพาททำหนังสือสัญญาจะขายให้แก่โจทก์แต่เมื่อยังไม่ได้ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่านาให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ และจำเลยที่1ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเป็นหนังสือว่าจะไม่ซื้อที่ดินพิพาทตามมาตรา 41 วรรคสามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ต. ผู้ให้เช่าไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นนี้โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ต. ได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา เมื่อผู้ให้เช่าขายนาโดยไม่แจ้งตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 41 วรรคแรกบัญญัติว่า'ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาซึ่งเช่านาแปลงนั้นทราบ พร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน....' เช่นนี้ ที่โจทก์เถียงว่าไม่จำเป็นจะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่านาทราบ จึงฟังไม่ขึ้น
ต. เจ้าของที่ดินพิพาททำหนังสือสัญญาจะขายให้แก่โจทก์แต่เมื่อยังไม่ได้ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่านาให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ และจำเลยที่1 ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเป็นหนังสือว่าจะไม่ซื้อที่ดินพิพาทตามมาตรา 41 วรรคสามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ต. ผู้ให้เช่าไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นนี้โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับต. ได้ไม่
ต. เจ้าของที่ดินพิพาททำหนังสือสัญญาจะขายให้แก่โจทก์แต่เมื่อยังไม่ได้ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่านาให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ และจำเลยที่1 ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเป็นหนังสือว่าจะไม่ซื้อที่ดินพิพาทตามมาตรา 41 วรรคสามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ต. ผู้ให้เช่าไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นนี้โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับต. ได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ - มูลหนี้ - การแปลงหนี้ - หลักประกัน - ความรับผิด
จำเลยยอมตกลงว่าจะใช้เงินที่โจทก์เสียไปคืนให้แก่โจทก์หากบุตรโจทก์ไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่จำเลยชักนำ โดยจำเลยยอมทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เพื่อเป็นหลักประกัน เมื่อบริษัทจัดหางานไม่สามารถส่งบุตรโจทก์ไปทำงานต่างประเทศได้ จำเลยก็ต้องรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลงทำสัญญากู้ไว้ จะอ้างว่าไม่มีมูลหนี้ต่อกันหาได้ไม่ เพราะการกู้ยืมเงินนั้น ผู้กู้ไม่จำต้องรับเงินไปจากผู้ให้กู้เสมอไป ผู้กู้อาจตกลงยอมรับเอาหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389-1390/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีเช็คที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น กรณีลงโทษปรับจำเลยเพียงสถานเดียวทำให้จำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยสถานเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218