คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวี กสิยพงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 557 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4052/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ หากไม่วางค่าธรรมเนียมพร้อมกัน ศาลไม่ต้องขยายเวลา และไม่ใช่เรื่องค่าธรรมเนียมศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติ ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ย่อมเป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไปแล้ว การที่จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายหลังเมื่อเกินกำหนด อายุอุทธรณ์แล้ว จะถือว่าศาลได้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียม ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 หาได้ไม่ และกรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล โดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วน เสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จเกี่ยวกับสัญชาติและข้อมูลทะเบียนบ้านเพื่อขอเอกสารราชการ
การที่จำเลยเป็นคนสัญชาติญวนไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หลังหนึ่งเลยแล้วไปแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมทะเบียน จดข้อความเท็จลงในทะเบียนบ้านอีกหลังหนึ่งว่าจำเลยเป็นคนสัญชาติไทย ย้ายมาจากบ้านที่จำเลยไม่เคยมีชื่ออยู่นั้นการกระทำของจำเลย ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนเขตดุสิตว่า จำเลยมีสัญชาติไทย ขอทำบัตรประชาชนคนไทยและนายทะเบียนเขตดุสิต ได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยอันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ สำหรับใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคลและสัญชาติ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่นายทะเบียนเขตดุสิตนั้น เมื่อปรากฏว่าบัตรประจำตัวประชาชน ที่เจ้าพนักงานออกให้นั้น ไม่มีการจดข้อความเท็จที่ว่าจำเลยมีสัญชาติไทย ลงไว้กรณีจึงไม่ครบองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 จำเลยคงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เท่านั้น
การที่จำเลยซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาว่าเป็นคนญวนอพยพ หนีจากเขตควบคุมให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูนั้นเป็นการปฏิเสธในฐานะผู้ต้องหาแม้ข้อความ ที่จำเลยให้การนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา137 และจะเอาผิดแก่จำเลยฐานใช้ หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงาน จดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งเท็จเกี่ยวกับสัญชาติและข้อมูลในทะเบียนบ้าน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 และ 137
การที่จำเลยเป็นคนสัญชาติญวนไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังหนึ่งเลย แล้วไปแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมทะเบียน จดข้อความเท็จลงในทะเบียนบ้านอีกหลังหนึ่ง ว่าจำเลยเป็นคนสัญชาติไทย ย้ายมาจากบ้านที่จำเลยไม่เคยมีชื่ออยู่นั้นการกระทำของจำเลย ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนเขตดุสิตว่า จำเลยมีสัญชาติไทย ขอทำบัตรประชาชนคนไทยและนายทะเบียนเขตดุสิต ได้ออกบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยอันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ สำหรับใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคลและสัญชาติ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายทะเบียนเขตดุสิตนั้น เมื่อปรากฏว่าบัตรประจำตัวประชาชน ที่เจ้าพนักงานออกให้นั้น ไม่มีการจดข้อความเท็จที่ว่าจำเลยมีสัญชาติไทย ลงไว้กรณีจึงไม่ครบองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 จำเลยคงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เท่านั้น
การที่จำเลยซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาว่าเป็นคนญวนอพยพ หนีจากเขตควบคุมให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูนั้นเป็นการปฏิเสธในฐานะผู้ต้องหาแม้ข้อความ ที่จำเลยให้การนั้นจะเป็นเท็จก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และจะเอาผิดแก่จำเลยฐานใช้ หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงาน จดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมพยายามฆ่า: เจตนาและความร่วมมือในการกระทำความผิด
จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปพบผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนเรือนโดยมี พวกอีก 5 คน รออยู่นอกบ้านและติดเครื่องรถจักรยานยนต์พร้อมที่จะออกแล่นได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ถามผู้เสียหายว่าเป็นคนบ้านโคกสำโรง ใช่หรือไม่ พอผู้เสียหายตอบว่าใช่ จำเลยที่ 2 ก็บอกให้จำเลยที่ 1 ยิง จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย 6 นัดแต่กระสุนไม่ถูก ผู้เสียหายลุกขึ้น วิ่งขึ้นบ้านและเอาปืนมายิงถูกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับบาดเจ็บ ตลอดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มา จำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอยออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันหลบหนีไปจากพฤติการณ์ ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกัน ที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้เป็น ตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมพยายามฆ่า: การกระทำร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดแสดงเจตนาและส่วนร่วม
จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปพบผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนเรือนโดยมี พวกอีก 5 คน รออยู่นอกบ้านและติดเครื่องรถจักรยานยนต์พร้อมที่จะ ออกแล่นได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1ถามผู้เสียหายว่าเป็นคนบ้านโคกสำโรง ใช่หรือไม่ พอผู้เสียหายตอบว่าใช่ จำเลยที่ 2 ก็บอกให้จำเลยที่ 1 ยิง จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย 6 นัดแต่กระสุนไม่ถูก ผู้เสียหายลุกขึ้น วิ่งขึ้นบ้านและเอาปืนมายิงถูกจำเลยที่ 3 ที่4 ได้รับบาดเจ็บ ตลอดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มา จำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอย ออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันหลบหนีไปจากพฤติการณ์ ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกัน ที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้เป็น ตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คโดยรู้ว่าไม่มีเงินในบัญชี และการสมคบกันเพื่อฟ้องคดีโดยมิชอบ ผู้ทรงเช็คไม่ชอบ
ท.กับจำเลยเข้าหุ้นกันค้าขาย เช็คพิพาทเป็นของห้างหุ้นส่วน ซึ่ง ท.ทราบยอดเงินในบัญชีดีและท.รับเช็คไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าขณะที่ จำเลยออกเช็คให้นั้นเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ท. กับโจทก์สมคบกัน สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินและ นำเช็คมาฟ้องคดี โดยท.มิได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ทราบความเป็นมา ของเช็คพิพาทดังกล่าวโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยย่อมไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คโดยเจตนาทุจริต – ผู้ทรงเช็คไม่ชอบ – ความผิด พ.ร.บ. เช็ค
ท. กับจำเลยเข้าหุ้นกันค้าขาย เช็คพิพาทเป็นของห้างหุ้นส่วน ซึ่ง ท. ทราบยอดเงินในบัญชีดี และ ท. รับเช็คไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าขณะที่ จำเลยออกเช็คให้นั้นเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ท. กับโจทก์สมคบกัน สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินและ นำเช็คมาฟ้องคดี โดย ท. มิได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ทราบความเป็นมา ของเช็คพิพาทดังกล่าวโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยย่อมไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้สลักหลังในฐานะผู้รับอาวัลเช็ค: ไม่อาจอ้างระยะเวลาตามมาตรา 990 เพื่อปฏิเสธความรับผิด
การสลักหลังในฐานะผู้รับอาวัลเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติความรับผิดไว้เป็นกรณีพิเศษ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 940 มิใช่เป็นการสลักหลังโดยทั่วๆ ไป ย่อมมีผลผูกพันที่จะต้องรับผิดเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่ายซึ่งตนเข้ารับประกันจึงไม่อาจอ้างระยะเวลาตาม มาตรา 990 มาเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีมัสยิด: กรรมการหมดวาระ ย่อมขาดอำนาจดำเนินคดีแทน
คณะกรรมการมัสยิดได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 เมษายน2522 ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการ อิสลามประจำมัสยิด(สุเหร่า) และวิธีดำเนิน การอันเกี่ยวแก่ศาสนกิจของมัสยิด(สุเหร่า) พ.ศ.2492 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช 2488 ข้อ 12 กำหนดให้กรรมการอิสลามประจำมัสยิดอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ4 ปี ฉะนั้นการที่คณะกรรมการมัสยิดดังกล่าวมาประชุมกันเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2526 และลงมติมอบอำนาจให้ พ.เป็นผู้แทนโจทก์เพื่อดำเนินคดีอันเป็นระยะเวลาที่ล่วงพ้นวาระในการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการมัสยิดไปแล้ว เช่นนี้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจเพราะบุคคลเหล่านั้นมิได้อยู่ในฐานะเป็นกรรมการมัสยิดแล้ว จึงไม่มีผลทำให้มัสยิดโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี ปัญหาที่ว่าคำสั่งของจำเลยในการถอดถอนและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ของโจทก์จะชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2978/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคดีแลกกับที่ดิน: โมฆะ หากไม่ใช่การช่วยเหลือเพื่อความยุติธรรม
โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับนายทรัพย์พิพาทกัน โจทก์ออกเงินให้จำเลยต่อสู้คดีโดยหวังจะได้ที่ดินที่จำเลยพิพาทกับนายทรัพย์มาเป็นสิทธิของโจทก์ ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือน้องสาวให้ได้รับความยุติธรรมจากศาล จึงเป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ทั้งจะเรียกเงินที่ออกไปคืนจากจำเลยก็ไม่ได้ เพราะการที่โจทก์ออกเงินไปนั้นเป็นการชำระหนี้อันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย
of 56