พบผลลัพธ์ทั้งหมด 505 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีล้มละลาย: ทรัพย์สินที่ถูกอายัดก่อนพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ยังคงเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย
วันที่ 26 กันยายน ธนาคารส่งเงินที่มีคำสั่งอายัดไว้ก่อนคำพิพากษาให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา แต่เมื่อวันที่ 10 เดือนเดียวกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้ชั่วคราวในคดีล้มละลายศาลจึงสั่งให้โอนเงินไปไว้ในคดีล้มละลาย วันที่1 ตุลาคม โจทก์แถลงขอรับเงินศาลสั่งยกคำขอ โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านคำสั่ง วันที่ 2 ตุลาคม จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในอีกสำนวนหนึ่ง ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีเดิม แล้วสั่งโอนเงินไปไว้ในคดีใหม่ ดังนี้ โจทก์จะอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 110 มาอ้างว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เพื่อยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการโอนเงินเข้ากองทรัพย์สินล้มละลายก่อนการบังคับคดีสำเร็จ และผลต่อสิทธิของเจ้าหนี้
วันที่ 26 กันยายน ธนาคารส่งเงินที่มีคำสั่งอายัดไว้ก่อนคำพิพากษาให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา แต่เมื่อวันที่ 10 เดือนเดียวกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้ชั่วคราวในคดีล้มละลายศาลจึงสั่งให้โอนเงินไปไว้ในคดีล้มละลาย วันที่1 ตุลาคม โจทก์แถลงขอรับเงิน ศาลสั่งยกคำขอ โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านคำสั่ง วันที่ 2 ตุลาคม จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในอีกสำนวนหนึ่ง ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีเดิม แล้วสั่งโอนเงินไปไว้ในคดีใหม่ดังนี้ โจทก์จะอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 110 มาอ้างว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์เพื่อยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนและภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา ศาลต้องพิจารณาพยานหลักฐานและภาระการพิสูจน์อย่างถูกต้อง
เมื่อผู้เสียหายมิได้มาเบิกความต่อศาล โจทก์จะอาศัยแต่เพียงคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ได้กระทำลับหลังจำเลยกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเพียงพยานรับคำบอกเล่ามาให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยหาได้ไม่
จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ในชั้นศาลให้การปฏิเสธเป็นภาระหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดของจำเลย หาใช่เป็นหน้าที่ของจำเลยไม่
จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ในชั้นศาลให้การปฏิเสธเป็นภาระหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดของจำเลย หาใช่เป็นหน้าที่ของจำเลยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์สัตยาบันคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การ ทำให้จำเลยมีสิทธิจำกัดในการสืบพยาน
ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการรับคำให้การของจำเลย และสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาเมื่อผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์แล้ว ผู้ร้องมิได้ร้องคัดค้านหรือขอเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นกลับปล่อยให้ทนายจำเลยซักค้านพยานโจทก์จนเสร็จสิ้น จึงถือได้ว่าผู้ร้องในฐานะผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยได้ให้สัตยาบันต่อคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การของศาลชั้นต้นแล้ว
จำเลยที่ศาลสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้น หามีสิทธินำพยานบุคคลและพยานเอกสารตามบัญชีพยานของจำเลยเข้าสืบได้ไม่
จำเลยที่ศาลสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้น หามีสิทธินำพยานบุคคลและพยานเอกสารตามบัญชีพยานของจำเลยเข้าสืบได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การของผู้เยาว์ที่มีผู้แทนเฉพาะคดี สิทธิในการนำสืบพยาน
ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการรับคำให้การของจำเลย และสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาเมื่อผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์แล้ว ผู้ร้องมิได้ร้องคัดค้านหรือขอเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นกลับปล่อยให้ทนายจำเลยซักค้านพยานโจทก์จนเสร็จสิ้น จึงถือได้ว่าผู้ร้องในฐานะผู้แทนเฉพาะคดีของจำเลยได้ให้สัตยาบันต่อคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การของศาลชั้นต้นแล้ว
จำเลยที่ศาลสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้น หามีสิทธินำพยานบุคคลและพยานเอกสารตามบัญชีพยานของจำเลยเข้าสืบได้ไม่
จำเลยที่ศาลสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้น หามีสิทธินำพยานบุคคลและพยานเอกสารตามบัญชีพยานของจำเลยเข้าสืบได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อทางละเมิด: การแบ่งความรับผิดของผู้ขับขี่รถแทรกเตอร์และรถโดยสาร กรณีไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร
โจทก์ที่ 1 สามีผู้ตายขับรถแทรกเตอร์มีกระบะพ่วงท้ายผู้ตายนั่งมาด้วยในรถกระบะโดยมิได้ติดโคมไฟท้ายรถกระบะให้มีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล จำเลยขับรถโดยสารแล่นตามหลังไม่อาจมองเห็นรถที่โจทก์ขับในระยะไกล จึงไม่อาจหยุดรถหรือหลบหลีกได้ทันเกิดชนกันเสียหาย ดังนี้ ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น โจทก์ที่ 1มีส่วนประมาทมากกว่าจำเลยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 แต่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 บุตรของผู้ตาย หนึ่งในสามส่วน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 676/2524)
การที่จำเลยชดใช้ค่าทำศพให้ ส. ซึ่งมิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เป็นการชำระให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าทำศพ ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 จำเลยจึงยังต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรผู้ตายที่มีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพผู้ตายอยู่
การที่จำเลยชดใช้ค่าทำศพให้ ส. ซึ่งมิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เป็นการชำระให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าทำศพ ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 จำเลยจึงยังต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรผู้ตายที่มีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพผู้ตายอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขวันทำสัญญาประกันภัยในเอกสาร ศาลอนุญาตให้เพิ่มพยานได้หากมีเหตุสมควรและไม่ทำให้คู่ความเสียเปรียบ
เดิมคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์อ้างส่งศาลไว้ได้ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ 30 เมษายน 2522 และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 16 เมษายน 2522 แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2521 เห็นได้ว่ามีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดไปโดยมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์ขออ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 เป็นพยานเพิ่มเติมหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้วนั้นก็ เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัย และวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น หลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้ว ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขวันทำสัญญาประกันภัย: ศาลอนุญาตเพิ่มพยานได้หากสมเหตุผลและไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
เดิมคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์อ้างส่งศาลไว้ได้ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันที่ 30 เมษายน 2522 และระบุวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 16 เมษายน 2522 แต่ระบุระยะเวลามีผลบังคับเริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม 2520 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2521 เห็นได้ว่ามีการพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยในคู่ฉบับผิดพลาดไปโดยมีผลย้อนหลัง การที่โจทก์ขออ้างต้นฉบับ ซึ่งระบุวันทำสัญญาประกันภัยและวันทำกรมธรรม์ประกันภัยเป็นวันที่ 30 ธันวาคม 2520เป็นพยานเพิ่มเติมหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้สืบพยานเสร็จแล้วนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงวันทำสัญญาประกันภัย และวันทำกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนระยะเวลามีผลบังคับและวันสิ้นสุดรวมทั้งชื่อผู้เอาประกันภัยคงระบุไว้ตรงกัน ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ก็ย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการขัดขวางการรังวัดเขตที่ดิน: ศาลต้องวินิจฉัยประเด็นการได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองก่อน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่มีเขตติดต่อกันจำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขตโดยมิชอบ จำเลยให้การว่าสามีจำเลยซื้อที่ดินมาจากบุคคลภายนอกด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์มีรั้วพู่ระหงตลอดแนวสามีจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่ดินตามแนวรั้วต้นพู่ระหงอย่างสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยเห็นว่าโจทก์ชี้เขตที่ดินรุกล้ำที่ดินที่จำเลยครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้วจึงไม่ยอมรับรองดังนี้ คำให้การของจำเลยมิได้ยืนยันว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยแต่อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินถึงแนวรั้วต้นพู่ระหงจนได้กรรมสิทธิ์แล้วแม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นไว้แต่เพียงว่าจำเลยขัดขวางไม่ยอมรับรองเขตที่ดินของโจทก์โดยมิชอบหรือไม่แต่การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวก็ต้องวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังได้หรือไม่หากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองจริงการที่จำเลยไม่รับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ซึ่งรังวัดรวมเอาที่พิพาทไว้ด้วยจะถือว่าจำเลยใช้สิทธิโดยมิชอบหาได้ไม่ จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยเรื่องการครอบครองที่ดินตามข้อต่อสู้ของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และเขตที่ดิน: ศาลต้องวินิจฉัยการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง หากจำเลยได้กรรมสิทธิ์จริง การไม่รับรองแนวเขตย่อมไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยมิชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่มีเขตติดต่อกันจำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขตโดยมิชอบ จำเลยให้การว่าสามีจำเลยซื้อที่ดินมาจากบุคคลภายนอก ด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์มีรั้วพู่ระหงตลอดแนว สามีจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่ดินตามแนวรั้วต้นพู่ระหงอย่างสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกิน 10 ปี แล้ว จำเลยเห็นว่าโจทก์ชี้เขตที่ดินรุกล้ำที่ดินที่จำเลยครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้วจึงไม่ยอมรับรองดังนี้ คำให้การของจำเลยมิได้ยืนยันว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยแต่อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินถึงแนวรั้วต้นพู่ระหงจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นไว้แต่เพียงว่าจำเลยขัดขวางไม่ยอมรับรองเขตที่ดินของโจทก์โดยมิชอบหรือไม่ แต่การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวก็ต้องวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังได้หรือไม่ หากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองจริง การที่จำเลยไม่รับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ซึ่งรังวัดรวมเอาที่พิพาทไว้ด้วยจะถือว่าจำเลยใช้สิทธิโดยมิชอบหาได้ไม่ จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยเรื่องการครอบครองที่ดินตามข้อต่อสู้ของจำเลย