พบผลลัพธ์ทั้งหมด 505 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงที่สุด: จำเลยต้องปฏิบัติตาม แม้จะอ้างสิทธิบุคคลภายนอกมิได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนโรงเรือนซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างรุกล้ำโดยผิดกฎหมายออกไป จำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานอันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว แม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำได้ ข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาถึงที่สุด แม้มีการอ้างสิทธิบุคคลภายนอกก็ไม่อาจใช้เป็นข้อแก้ตัวได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนโรงเรือนซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างรุกล้ำโดยผิดกฎหมายออกไปจำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานอันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว แม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำได้ข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3518/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อไม่ต่ออายุ การคิดดอกเบี้ยทบต้นจำกัดเฉพาะระยะเวลาสัญญา
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและการต่ออายุสัญญาทั้งสี่ครั้งได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนในวันสุดท้ายของอายุสัญญาทุกครั้ง เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายแล้วจำเลยมิได้เบิกเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีอีก พฤติการณ์ของคู่กรณีที่ปฏิบัติต่อกันแสดงให้เห็นว่าเจตนาได้ว่า หากไม่มีการต่ออายุสัญญาออกไป ก็ให้ถือว่าให้เลิกสัญญากันเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาโดยไม่จำต้องมีการบอกเลิกสัญญาอีก จึงต้องหักทอนบัญชีเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3518/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อไม่ต่ออายุ และเจตนาเลิกสัญญาระหว่างคู่กรณี
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและการต่ออายุสัญญาทั้งสี่ครั้งได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนในวันสุดท้ายของอายุสัญญาทุกครั้งเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายแล้วจำเลยมิได้เบิกเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีอีก พฤติการณ์ของคู่กรณีที่ปฏิบัติต่อกันแสดงให้เห็นว่าเจตนาได้ว่า หากไม่มีการต่ออายุสัญญาออกไป ก็ให้ถือว่าให้เลิกสัญญากันเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาโดยไม่จำต้องมีการบอกเลิกสัญญาอีก จึงต้องหักทอนบัญชีเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ถึงการมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
การที่ธนาคารเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้ (จำเลย) ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปในขณะที่ลูกหนี้ยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้และลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ แม้ธนาคารเจ้าหนี้จะเชื่อถือหลักประกันของลูกหนี้ก็เป็นที่เห็นได้ว่าลำพังเฉพาะตัวของลูกหนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินเกินบัญชีให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ได้ หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ที่ธนาคารเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อธนาคารเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ธนาคาร เจ้าหนี้จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้รายนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา94(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมที่เป็นคู่ความ ทำให้การพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมรับผิดฐานละเมิดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยร่วม และขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) จำเลยร่วมให้การปฏิเสธและเป็นปรปักษ์ทั้งต่อโจทก์และจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ อ้างว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยร่วมเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยร่วมยังเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นจัดส่งสำเนาให้เฉพาะโจทก์และไม่นัดให้จำเลยร่วมมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเหตุให้จำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอยๆ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243 (2), 247 ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมแล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่แจ้งจำเลยร่วมในชั้นอุทธรณ์ทำให้การพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมรับผิดฐานละเมิดจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยร่วม และขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยร่วมให้การปฏิเสธและเป็นปรปักษ์ทั้งต่อโจทก์และจำเลยทั้งสองเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ อ้างว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยร่วมเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยร่วมยังเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นจัดส่งสำเนาให้เฉพาะโจทก์และไม่นัดให้จำเลยร่วมมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเหตุให้จำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอยๆ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2),247 ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมแล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333-3337/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในการขับรถ แม้มิได้รับคำสั่งโดยตรง แต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปซ่อม แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ขับรถเพื่อนำไปซ่อมตามคำสั่งของผู้ใด แต่รถนั้นก็เป็นรถที่ใช้งานของจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับประจำ และจำเลยที่ 1 เก็บรักษากุญแจรถไว้เอง จึงเป็นกิจการที่กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อเกิดเหตุขึ้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7(โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7(โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333-3337/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้ไม่มีคำสั่งโดยตรง
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปซ่อม แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ขับรถเพื่อนำไปซ่อมตามคำสั่งของผู้ใด แต่รถนั้นก็เป็นรถที่ใช้งานของจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับประจำ และจำเลยที่ 1 เก็บรักษากุญแจรถไว้เอง จึงเป็นกิจการที่กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อเกิดเหตุขึ้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7 (โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7 (โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3189/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินริมน้ำท่วมถึง ไม่เป็นสาธารณสมบัติ หากเจ้าของยังใช้สิทธิและห้ามผู้อื่น
ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งน้ำในแม่น้ำท่วมถึง แต่ไม่มีผู้อื่น มาใช้ที่พิพาทเลยนอกจากมีบิดามารดาจำเลยและจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทเท่านั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทยังใช้สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของที่ดินในเขตของตนอยู่ โดยมิได้ทอดทิ้งปล่อยให้บุคคลอื่นมาใช้ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่ง เพียงแต่จำเลยต่อเติมบ้านของตนเท่านั้น โจทก์ก็ยังห้ามปรามไม่ให้กระทำดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2)