พบผลลัพธ์ทั้งหมด 505 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรับช่วงสิทธิจากสัญญาประกันภัย: ไม่ต้องใช้หลักฐานหนังสือตาม ม.867 หากมิใช่การฟ้องบังคับตามสัญญา
โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยผู้ก่อวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 ไม่ใช่ฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยจึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก อันจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือของฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้และไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
โจทก์อ้างว่าต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยอยู่ที่บริษัท ส.ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจากบริษัท ส.บริษัทส. แจ้งว่ายังค้นหาเอกสารไม่พบโจทก์ย่อมมีสิทธินำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลเข้าสืบถึงการรับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ซ.4500 คันเกิดเหตุจากบริษัท ส. ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา123
โจทก์อ้างว่าต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยอยู่ที่บริษัท ส.ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจากบริษัท ส.บริษัทส. แจ้งว่ายังค้นหาเอกสารไม่พบโจทก์ย่อมมีสิทธินำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลเข้าสืบถึงการรับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ซ.4500 คันเกิดเหตุจากบริษัท ส. ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา123
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษจำคุกสถานเดียวสำหรับความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา ๗๓ ทวิ แม้มีโทษปรับ
แม้ความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 73 ทวิจะมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาทก็ตาม ถ้าศาลเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกสถานเดียวโดยไม่ลงโทษปรับด้วยก็ได้ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 20
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้: ศาลมีอำนาจลงโทษจำคุกสถานเดียวได้ แม้กฎหมายจะกำหนดทั้งจำและปรับ
แม้ความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 73 ทวิจะมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาทก็ตาม ถ้าศาลเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกสถานเดียวโดยไม่ลงโทษปรับด้วยก็ได้ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบเอกสารต้นฉบับ-สำเนา: ศาลรับฟังได้หากไม่มีข้อโต้แย้งความถูกต้องและมีเหตุผลในการขอคืน
ในการนำสืบพยานโจทก์ได้ส่งต้นฉบับเอกสารไว้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ขอรับต้นฉบับเอกสารคืนไปโดยอ้างเหตุจำเป็นต้องนำไปใช้ในคดีอื่น และขอส่งสำเนาไว้แทนดังนี้ จะถือว่าโจทก์ไม่ส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานมิได้ชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่าภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหรือสำเนาเอกสารไม่ตรงกับต้นฉบับทั้งจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร ดังนี้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามข้อความในสำเนาเอกสารนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่สมบูรณ์หากไม่บรรยายองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ปัญหาว่าคำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำฟ้องของโจทก์มีสารสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย หลังจากเช็คถึงกำหนดผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 อนุมาตรา (1) ถึง (5) แต่ประการใด ถือได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2522)
คำฟ้องของโจทก์มีสารสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย หลังจากเช็คถึงกำหนดผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 อนุมาตรา (1) ถึง (5) แต่ประการใด ถือได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่สมบูรณ์หากไม่บรรยายองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ปัญหาว่าคำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
คำฟ้องของโจทก์มีสารสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย หลังจากเช็คถึงกำหนดผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497มาตรา 3 อนุมาตรา (1) ถึง (5) แต่ประการใด ถือได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2522)
คำฟ้องของโจทก์มีสารสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย หลังจากเช็คถึงกำหนดผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497มาตรา 3 อนุมาตรา (1) ถึง (5) แต่ประการใด ถือได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการประกอบกิจการก่อความเดือดร้อน: การทุบทองคำเปลวสร้างความเสียหายเกินสมควร
อาคารของโจทก์จำเลยเป็นตึกแถวอยู่ติดกัน ไม่ได้ความว่ามีเสียงและความสั่นสะเทือนจากการประกอบกิจการอื่นอีกการที่จำเลยประกอบกิจการทุบทองคำเปลวทำให้เกิดเสียงและความสั่นสะเทือนถึงขนาดที่ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่า จะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยระงับความเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2328/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย และการไม่อุทธรณ์ประเด็นข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2328/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย คดีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2186/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุก: การเข้าไปในบ้านโดยได้รับอนุญาตโดยปริยาย ไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยถามหาสามีของผู้เสียหายก่อนแล้วไปนั่งคุยกับผู้เสียหายบนเตียงนอนโดยผู้เสียหายมิได้ห้ามปรามหรือขอร้องให้จำเลยออกไปจากบ้านนั้น เป็นการแสดงว่าผู้เสียหายอนุญาตให้จำเลยเข้าไปได้โดยปริยาย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและมีเจตนารบกวนการครอบครองที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก