พบผลลัพธ์ทั้งหมด 505 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนมรดก ไม่ใช่การแบ่งมรดกจึงไม่อยู่ในอายุความ
ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์จำเลย และทายาทอื่นโดยยังไม่ได้แบ่งปันกัน จำเลยขอรับมรดกใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวโดยโจทก์และทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ดังนี้ ไม่ใช่เป็นการฟ้องขอแบ่งมรดกไม่อยู่ในบังคับของอายุความมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัย มีคำให้การขัดแย้งกันเอง ถือเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง ศาลไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องการรับประกันภัย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ตามสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง จำเลยที่ 3 ให้การว่า สำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวไม่มีการรับรองจากจำเลยที่ 3 จึงขอปฏิเสธว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ถ้าฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติไปตามเงื่อนไขแห่งสัญญากรมธรรม์ประกันภัย กล่าวคือลูกจ้างของจำเลยที่ 2ขับขี่รถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมายจึงไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหาย ดังนี้ คำให้การของจำเลยที่ 3 จึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 หรือไม่และกรณีเช่นนี้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยมีคำให้การขัดแย้งเอง ทำให้ไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องการรับประกัน และจำเลยต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ตามสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง จำเลยที่ 3 ให้การว่า สำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวไม่มีการรับรองจากจำเลยที่ 3 จึงขอปฏิเสธว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน ถ้าฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติไปตามเงื่อนไขแห่งสัญญากรมธรรม์ประกันภัย กล่าวคือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับขี่รถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมายจึงไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหาย ดังนี้ คำให้การของจำเลยที่ 3 จึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 หรือไม่ และกรณีเช่นนี้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046-1047/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารไม่เป็นความจริง ไม่ถึงขั้นปลอมแปลง และการระงับสิทธิฟ้องร้องคดีแจ้งความเท็จ
เอกสารทั้งสองฉบับที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำขึ้นเป็นเอกสารของจำเลยซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อของตนเอง มิได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด และมิใช่เป็นการปลอมหรือเลียนแบบเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริงหรือเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 265 ดังนั้นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงไม่เกิดขึ้น
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เป็นคดีซึ่งเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน เมื่อคดีของโจทก์ที่ 3 ตามคดีสำนวนหลัง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องข้อหาอื่น ส่วนข้อหาฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 สั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง โจทก์ที่ 3 มิได้อุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ความผิดฐานแจ้งความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในคดีสำนวนแรกนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในอันที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
(วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2526)
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เป็นคดีซึ่งเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน เมื่อคดีของโจทก์ที่ 3 ตามคดีสำนวนหลัง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องข้อหาอื่น ส่วนข้อหาฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 สั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง โจทก์ที่ 3 มิได้อุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ความผิดฐานแจ้งความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในคดีสำนวนแรกนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในอันที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
(วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบของฟ้องยักยอกทรัพย์: การบรรยายรายละเอียดการกระทำความผิดที่เพียงพอต่อการเข้าใจข้อหา
บรรยายฟ้องว่า จำเลยติดต่อขายผ้าของผู้เสียหายให้แก่ผู้อื่นรวม 6 ครั้ง จำเลยเรียกเก็บเงินราคาผ้าแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนหรือบุคคลอื่นโดยทุจริต เมื่อได้ความว่าผู้เสียหายมอบใบรับสินค้าให้จำเลยไปเก็บเงินจำเลยเก็บเงินได้กี่ครั้ง จำนวนเท่าใด แล้วเบียดบังเอาไปเมื่อใดจำเลยย่อมรู้ดี แต่โจทก์ไม่อาจจะทราบได้แน่ชัดนอกจากสันนิษฐานเอาว่า จำเลยยักยอกเงินค่าผ้าไปในระหว่างวันที่ลูกค้าได้รับผ้าและวันที่ทราบว่าจำเลยยักยอกเอาเงินค่าผ้าไป ดังนี้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตฎีกาข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การฎีกาต้องมีปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด
การที่ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งรับฎีกาจำเลยว่า ข้อเท็จจริงบางอย่างที่จำเลยฎีกาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย สมควรที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยได้ จึงอนุญาตให้จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงได้นั้นมิได้เป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบเพราะการที่จะรับเป็นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จะต้องปรากฏว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ยกเหตุตามกฎหมายขึ้นอ้าง จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตฎีกาข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งรับฎีกาจำเลยว่า ข้อเท็จจริงบางอย่างที่จำเลยฎีกาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย สมควรที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยได้ จึงอนุญาตให้จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงได้นั้นมิได้เป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบ เพราะการที่จะรับเป็นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จะต้องปรากฏว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ยกเหตุตามกฎหมายขึ้นอ้าง จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไม้หวงห้ามในครอบครอง: ลูกจ้างตัดไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของนายจ้าง
มีผู้ว่าจ้างจำเลยตัดฟันไม้ของกลาง ถือไม่ได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเพียงลูกจ้างมีไม้ของกลางไว้ในครอบครองอันจะต้องได้รับอนุญาตตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ แต่การตัดฟันไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างซึ่งเป็นผู้มีไม้ของกลางไว้ในความครอบครอง จำเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดในข้อหาดังกล่าวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการอิสลาม และบังคับตามคำชี้ขาดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน
เมื่อบิดาโจทก์จำเลยถึงแก่กรรม บุตร 6 คนขอรับโอนมรดกที่ดินพิพาท ต่อมาบุตร 4 คนยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์จำเลยแล้วโจทก์จำเลยทำบันทึกตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแต่ยังมิได้รังวัดแบ่งแยกโฉนด ต่อมาสามีจำเลยและโจทก์ลงชื่อในฐานะคู่กรณี จำเลยลงชื่อในฐานะพยานในเอกสารมีข้อความว่า ทั้งสองฝ่ายยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และยอมให้นำเอกสารคำวินิจฉัยชี้ขาดเป็นหลักในการตัดสินชี้ขาดของศาล ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครเป็นอนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาทของโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งหมด เมื่อคณะกรรมการฯ ทำคำชี้ขาดและแจ้งจำเลยแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามศาลต้องบังคับให้เป็นไปตามคำชี้ขาดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495-496/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นก่อน จึงจะมีความผิดฐานสนับสนุนได้
การที่ผู้สนับสนุนผู้กระทำความผิดจะต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100 นั้น จะต้องมีการกระทำผิดเกี่ยวกับการผลิต จำหน่าย นำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเกิดขึ้นก่อน ไม่ว่าจะเป็นในขั้นพยายามหรือความผิดสำเร็จโดยมีหลักเดียวกับหลักทั่วไปของการสนับสนุนผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่ากัญชาที่จะส่งออกนอกราชอาณาจักรอยู่ในขั้นเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นพยายามกระทำความผิด แม้จำเลยจะได้ช่วยเหลือในการที่จะส่งกัญชาออกนอกราชอาณาจักร ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้มีการส่งกัญชาออกนอกราชอาณาจักรส่วนการแกล้งละเลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการกระทำความผิดก็มิได้หมายความว่าเป็นการสนับสนุนทางอ้อมเสมอไป เพราะการละเว้นไม่ขัดขวางในเมื่อไม่มีหน้าที่ขัดขวางไม่ถือเป็นการกระทำโดยงดเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา