พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการรวบรวมทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแต่ผู้เดียว เจ้าหนี้ไม่มีหน้าที่รับผิดค่าใช้จ่ายโดยตรง
เดิมศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ (จำเลย) ล้มละลาย ลูกหนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ในระหว่างฎีกา ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราวตามคำขอของเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ หลังจากนั้นผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันและได้ยื่นคำขอรับประกันหนี้ไว้แล้ว ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอทำการแทนเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ขอนำยึดทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งหมดและรับรองจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์ครั้งนี้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงจัดการยึดทรัพย์ตามคำขอของผู้ร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ชั่วคราวและให้ถอนการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงจัดการถอนการยึดคืนทรัพย์ให้แก่ลูกหนี้ และแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมถอนการยึดไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ดังนี้ อำนาจในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามมาตรา 22 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามธรรมดาผู้หนึ่งไม่มีหน้าที่และความรับผิดใด ๆ เป็นส่วนตัวโดยตรง ตามกฎหมายล้มละลายในเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ใช้ดุลพินิจทำการยึดทรัพย์เองโดยเชื่อตามคำเสนอแนะของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการถอนการยึดมาชำระได้ ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องจะต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่นั้น หากจะฟังว่ามีผลบังคับได้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการขอให้ศาลบังคับผู้ร้องตามสัญญาเสียก่อน ศาลจะบังคับผู้ร้องไปทันทีในคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีของบุคคลล้มละลายที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าโจทก์ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าความแทนโจทก์ โจทก์จะดำเนินคดีเองต่อไปไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 24 ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีของโจทก์เสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดก: การพิพาทระหว่างผู้จัดการมรดกกับผู้รับพินัยกรรม การคิดค่าฤชาธรรมเนียมและทนายความ
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์สินของกองมรดกอยู่ ยังไม่ตกได้แก่จำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทยังไม่ตกได้แก่จำเลย และให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าที่จำเลยรับไว้จากผู้เช่าพร้อมทั้งดอกเบี้ย ให้แก่ผู้จัดการมรดกเป็นผู้เก็บรักษาไว้ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทตกได้แก่จำเลยตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกแล้ว เงินค่าเช่าที่พิพาทที่จำเลยรับไว้ก็ตกเป็นของจำเลยด้วย ศาลจึงกำหนดประเด็นที่โจทก์จำเลยจะนำสืบไว้ว่า ที่ดินวังพิพาทยังเป็นของกลางของทายาทหรือตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยตามพินัยกรรมแล้ว จำเลยแถลงต่อศาลขอยืนยันให้ศาลชี้ขาดกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไปตามจำเลยให้การต่อสู้ ดังนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลี้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลเมื่อจำเลยแพ้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจใช้ดุลยพินิจให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ได้ และเมื่อเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยจึงต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลเมื่อจำเลยแพ้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจใช้ดุลยพินิจให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ได้ และเมื่อเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยจึงต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการฟ้องแย่งการครอบครองที่เกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย
คู่กรณีพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินราคา 15,000 บาท ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาล 437.50 บาท เห็นได้ว่าเรียกค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 17,500 บาท (ราคาที่ดินรวมกับค่าเสียหาย) จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
จำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิจากโจทก์แต่อย่างใดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ถือได้ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันถูกแย่งครอบครอง โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว
จำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิจากโจทก์แต่อย่างใดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ถือได้ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันถูกแย่งครอบครอง โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางสาธารณประโยชน์ & ภารจำยอม: การอุทิศที่ดินโดยปริยาย & การละเมิดสิทธิในการใช้ทาง
บรรยายฟ้องว่าทางเดินตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ และตอนต่อไปบรรยายว่าทางเดินนี้ตกเป็นทางสาธารณะประโยชน์แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะทางเดินอาจตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินรายอื่น และก็อาจกลายสภาพเป็นทางสาธารณได้ ซึ่งเมื่อเป็นทางเดินสาธารณะแล้ว สิทธิ์ในภารจำยอมของเจ้าของที่ดินรายอื่นก็ย่อมถูกกลืนหมดสภาพไปในตัว
พฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย
รับซื้อที่ดินที่เจ้าของเดิมได้อุทิศบางส่วนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ไปโดยปริยายแล้ว แม้ที่ดินส่วนนั้นจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินที่รับซื้อไว้ ผู้ซื้อที่ดินนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้ และแม้จะมีผู้ทำหลังคาและชายคารุกล้ำที่ดินส่วนนั้นผู้ซื้อที่ดินก็มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้ตัดหลังคาและชายคาได้
กั้นรั้วสังกะสีปิดหน้าบ้านของโจทก์จนโจทก์ไม่มีทางที่จะออกไปสู่ทางสาธารณประโยชน์และทำการค้าขายไม่ได้ตามที่เคย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดของจำเลยตั้งแต่วันฟ้อง ซึ่งศาลพิพากษาบังคับให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (4) ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต
พฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย
รับซื้อที่ดินที่เจ้าของเดิมได้อุทิศบางส่วนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ไปโดยปริยายแล้ว แม้ที่ดินส่วนนั้นจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินที่รับซื้อไว้ ผู้ซื้อที่ดินนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้ และแม้จะมีผู้ทำหลังคาและชายคารุกล้ำที่ดินส่วนนั้นผู้ซื้อที่ดินก็มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้ตัดหลังคาและชายคาได้
กั้นรั้วสังกะสีปิดหน้าบ้านของโจทก์จนโจทก์ไม่มีทางที่จะออกไปสู่ทางสาธารณประโยชน์และทำการค้าขายไม่ได้ตามที่เคย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดของจำเลยตั้งแต่วันฟ้อง ซึ่งศาลพิพากษาบังคับให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (4) ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต