คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 192 วรรคสี่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 116 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติด, ความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการยาเสพติด, การบรรยายฟ้องโทษหนัก, และอำนาจแก้ไขโทษของศาล
จำเลยที่ 2 รู้ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไถนาพาจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้แก่ผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนนั้น ย่อมเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 เพราะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษสูงขึ้น เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและอ้างมาตรา 6 (1) ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างมาตรา 7 พ.ร.บ.มาตรการยาเสพติดฯ โทษสูงกว่าบทลงโทษอื่น โจทก์ต้องอ้างตามฟ้อง มิฉะนั้นถือเป็นการเกินคำขอ
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เป็นกฎหมายคนละฉบับกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ทั้งมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติว่าผู้ใดกระทำความผิดฐานพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเท่าใด จึงเป็นทั้งบทความผิดและบทลงโทษในมาตราเดียวกัน ส่วนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และความผิดฐานพยายามกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 80 นั้นเป็นเพียงองค์ความผิดและบทโทษส่วนหนึ่งของมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เท่านั้น การที่โจทก์ไม่อ้างมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีโทษสูงกว่าโทษในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบ ป.อ. มาตรา 80 จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ และเป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่
ตามคำฟ้องบรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในวันและเวลาเดียวกัน ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้จะเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แต่เมื่อกระทำความผิดทั้งสองความผิดเป็นวันเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันอยู่ เจตนาของจำเลยที่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองก็เพื่อจำหน่ายจึงเป็นเจตนาเดียวกันกับเจตนาในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและที่จะจำหน่ายก็เป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่หลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2407/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์โดยมีกำลังประทุษร้าย และประเด็นการบรรยายฟ้องความผิดฐานทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการชกที่ตาซ้ายของผู้เสียหาย 1 ครั้ง โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าเป็นอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 339 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงมาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ จำเลยคงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดพยายามส่งยาเสพติด: ข้อจำกัดการใช้บทลงโทษกฎหมายพิเศษเมื่อมิได้ระบุในคำฟ้อง
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯมาตรา 7 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้พยายามกระทำความผิดต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จ เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง ต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ แม้โจทก์จะระบุในคำขอท้ายฟ้องว่าตั๋วโดยสารเครื่องบินของกลาง โจทก์จะดำเนินการขอริบตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯมาตรา 30 ต่อไป ก็หามีความหมายเป็นการขอให้ลงโทษตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ กรณีไม่อาจนำบทบัญญัติดังกล่าวมาปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดขับรถขณะเสพยาเสพติด และขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถจากนายทะเบียน และอ้างมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ อันเป็นบทห้ามการกระทำความผิดมาด้วย แม้จะไม่ได้อ้างบทลงโทษมา ศาลย่อมลงโทษตามมาตรา 151ได้ ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ มาตรา 151 ดังกล่าวเป็นการมิชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6387/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีทรัพย์สินทางปัญญา: การมีแสตมป์ยาสูบปลอมและสินค้ามีเครื่องหมายการค้าปลอม ศาลฎีกาแก้โทษและยกฟ้องบางส่วน
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 254,257 และ 263 แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มิได้มีคำวินิจฉัยในข้อนี้ รวมทั้งมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวและโจทก์ก็มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ ประกอบกับโจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดเกี่ยวกับแสตมป์ยาสูบตามพระราชบัญญัติยาสูบฯ มาตรา 43 ประกอบมาตรา 53 ซึ่งเป็นบทกฎหมายเฉพาะมาด้วย และศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ลงโทษจำเลยตามกฎหมายดังกล่าวแล้วถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 254,257 และ 263 อันเป็นบททั่วไปตามคำขอท้ายคำฟ้องอีก
เครื่องหมายอย่างอื่นที่ใช้แทนแสตมป์ยาสูบตามคำฟ้องโจทก์ อันถือว่าเป็นแสตมป์ยาสูบตามบทนิยามในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบฯ นั้นมีผู้อื่นทำปลอมขึ้นและได้ถูกนำมาใช้ปิดอยู่บนซองบรรจุยาสูบของกลางแต่ละซองแล้ว โดยจำเลยมียาสูบของกลางแต่ละซองดังกล่าวไว้เพื่อขาย ซึ่งในการขายยาสูบแต่ละซองนั้นแม้จะมีแสตมป์ยาสูบปลอมปิดอยู่บนซองบรรจุยาสูบด้วย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะมีแสตมป์ยาสูบปลอมดวงนั้น ๆ ไว้เพื่อขายตามความหมายในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบฯ เพราะมาตราดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดที่มีแสตมป์ยาสูบปลอมไว้ในครอบครองเพื่อขายหรือเพื่อนำออกใช้เท่านั้น หาได้ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ที่มียาสูบซึ่งมีผู้อื่นทำปลอมแสตมป์ยาสูบขึ้น แล้วนำมาปิดแสดงอยู่บนซองยาสูบดังกล่าวไม่ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ลงโทษจำเลยฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งแสตมป์ยาสูบปลอมเพื่อขายตามพระราชบัญญัติยาสูบฯ มาตรา 43 ประกอบมาตรา 53 มานั้นจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง,195 วรรคสองและ 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7884/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนัน, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, และลักทรัพย์ (วิ่งราวทรัพย์) ศาลพิพากษาตามพยานหลักฐาน
ผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุมผู้เล่นการพนันขณะเข้าจับกุม ผู้เสียหายใช้กล้องถ่ายรูปผู้เล่นการพนัน ครั้นจะถ่ายรูปภาพที่สอง จำเลยที่ 1 ได้เข้าไปกระชากกล้องถ่ายรูปจากมือผู้เสียหายไป และต่อว่าผู้เสียหายพร้อมกับร่วมกับพวกกลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ได้รับกล้องถ่ายรูปคืนดังนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ลักษณะการกระทำของจำเลยจึงเป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปซึ่งหน้าโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฉกฉวยพาทรัพย์หนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วยจะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยได้ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรกเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดพยายามจำหน่ายยาเสพติดตามกฎหมายพิเศษ โจทก์ต้องขอท้ายฟ้อง
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จ บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย เพราะทำให้จำเลยต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่ว ๆ ไป เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษหนักขึ้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8802/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์เมื่อข้อเท็จจริงต่างจากฟ้อง และการลงโทษฐานบุกรุกเคหสถาน
โจทก์กล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดกุญแจประตูหน้าบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายและเข้าไปในเคหสถานงัดประตูห้องนอนของผู้เสียหาย แล้วร่วมกันลักสายยู 1 อันราคา 300 บาท ซึ่งใช้ล่ามบานประตูให้ติดกับกุญแจของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานไปโดยทุจริต ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยพยายามเข้าไปลักทรัพย์ที่มิใช่สายยูที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องในเคหสถานของผู้เสียหาย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องและข้อแตกต่างนี้เป็นข้อสาระสำคัญในความผิดฐานลักทรัพย์เพราะโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายเพื่อลักทรัพย์ที่อยู่ในเคหสถานนั้นด้วย ทั้งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อย่างอื่นของผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสี่
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมายังเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364 รวมอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องด้วยแล้ว ทั้งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองมา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8802/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานและการบุกรุก หากข้อเท็จจริงต่างจากฟ้อง ศาลต้องพิจารณาตามความผิดที่มีอัตราโทษเบากว่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 265 , 268 , 335 (3) (8) , 336 ทวิ และกล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดกุญแจประตูหน้าบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และเข้าไปในเคหสถานงัดประตูห้องนอนของผู้เสียหาย แล้วร่วมกันลักสายยู 1 อัน ซึ่งใช้ล่ามบานประตูให้ติดกับกุญแจของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานไปโดยทุจริต ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยพยายามเข้าไปลักทรัพย์ที่มิใช่สายยูที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องในเคหสถานของผู้เสียหาย ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง และเป็นข้อสาระสำคัญในความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของ ผู้เสียหายเพื่อลักทรัพย์อื่นที่อยู่ในเคหสถานนั้นด้วย ทั้งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อย่างอื่นของผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์อื่นของผู้เสียหายไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสี่ แต่จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันงัดประตูบ้านและประตูห้องนอนเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานของผู้เสียหาย ซึ่งนอกจากจะเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์แล้ว ยังเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364 รวมอยู่ด้วยซึ่งโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องด้วยแล้ว ทั้งมีอัตราโทาเบากว่าความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองโทษจำเลยทั้งสองมา ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364 , 83 ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ความผิดฐานทำเอกสารราชการปลอมตาม ป.อ. มาตรา 265 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้มาด้วยจึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
of 12