คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพบูลย์ เพียรรู้จบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 155 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่านาปรัง: แม้ทำนอกฤดู ก็ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่านาปกติ
การทำนาปรังเป็นการทำนานอกฤดูการทำนาประจำปี ทั้งคำว่า 'พืชอายุสั้น' และ 'พืชไร่' ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา มาตรา 20 ก็มิได้หมายความถึงข้าว ฉะนั้นเมื่อผู้เช่านาทำนาปรังในนาพิพาท ผู้เช่านาก็ต้องชำระค่าเช่าสำหรับการทำนาปรังนั้น และเมื่อฤดูการทำนาปรังสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ผู้ให้เช่านาก็ฟ้องให้ผู้เช่าชำระค่าเช่านานั้นในเดือนกันยายน ต่อมาได้ เพราะเป็นเวลาภายหลังจากเสร็จฤดูการทำนาปรังปีนั้นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3388/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ในการยึดทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งปัน และการรับคำร้องขอค่าธรรมเนียมศาลหลังพ้นกำหนด
ผู้ร้องกับสามีเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท จำเลยเป็นบุตรของผู้ร้อง เมื่อสามีของผู้ร้องถึงแก่กรรมไปโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกมรดกส่วนของตนให้แก่ผู้ใด ดังนั้น ส่วนที่เป็นของสามีจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทุกคน รวมทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาและจำเลยซึ่งเป็นบุตรด้วย เมื่อทรัพย์นั้นยังมิได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะยึดทรัพย์ดังกล่าวเพื่อบังคับชำระหนี้ได้ ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าของร่วมกันหามีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้ไม่ ได้แต่จะร้องขอส่วนแบ่งหรือร้องขอให้กับเงินส่วนของตนออกเมื่อขายทรัพย์แล้วเท่านั้น
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดอายุอุทธรณ์พร้อมด้วยคำขออุทธรณ์คนอนาถาระหว่างไต่สวน ก่อนศาลมีคำสั่ง แต่พ้นกำหนดอายุอุทธรณ์แล้ว โจทก์ขอเสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ เช่นนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้วและไม่ขาดอายุอุทธรณ์ เพราะในระหว่างศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 นั้น กฎหมายไม่ได้บังคับให้โจทก์ต้องวางเงินค่าธรรมเนียม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 679/2486 แล 22/2493)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3388/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ในการยึดทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง และการรับคำอุทธรณ์พร้อมคำขออนาถา
ผู้ร้องกับสามีเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท จำเลยเป็นบุตรของผู้ร้อง เมื่อสามีของผู้ร้องถึงแก่กรรมไปโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกมรดกส่วนของตนให้แก่ผู้ใด ดังนั้น ส่วนที่เป็นของสามีจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทุกคน รวมทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาและจำเลยซึ่งเป็นบุตรด้วย เมื่อทรัพย์นั้นยังมิได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษา ย่อมมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์ดังกล่าวเพื่อบังคับชำระหนี้ได้ ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าของร่วมกันหามีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้ไม่ ได้แต่จะร้องขอส่วนแบ่งหรือร้องขอให้กันเงินส่วนของตนออกเมื่อขายทรัพย์แล้วเท่านั้น
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดอายุอุทธรณ์พร้อมด้วยคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาระหว่างไต่สวน ก่อนศาลมีคำสั่งแต่พ้นกำหนดอายุอุทธรณ์แล้ว โจทก์ขอเสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้วและไม่ขาดอายุอุทธรณ์ เพราะในระหว่างศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 นั้น กฎหมายไม่ได้บังคับให้โจทก์ต้องวางเงินค่าธรรมเนียม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 679/2486 และ 22/2493)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3272/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: ผลกระทบต่อการพิจารณาใหม่ และสิทธิในการฟ้องคดีใหม่
โจทก์จำเลยไม่มาศาลในวันพิจารณา ซึ่งจำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลจำหน่ายคดี โจทก์ได้แต่ฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 วรรค 2 โจทก์ขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3234/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีต่อศาลไทยของสำนักงานสาขาบริษัทต่างชาติ: การระบุชื่อจำเลยที่ถูกต้อง
ในคำฟ้องช่องคู่ความ โจทก์ระบุชื่อจำเลยว่า สายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ และบรรยายในฟ้องว่า จำเลยอันหมายถึงบริษัทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ท อาฟ 1912 อักตีเซลสกาป จำกัด และบริษัทอักตีเซลสกาเบ็ท ดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ท สเว็นด์บอร์ก จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของราชอาณาจักรแห่งประเทศเดนมารค์ ดำเนินธุรกิจในการขนส่งทางทะเลและจดทะเบียนพาณิชย์ต่อสำนักงานทะเบียนพาณิชย์กระทรวงพาณิชย์ และใช้ชื่อในการประกอบการพาณิชยกิจว่า "สายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ" โดยมีสำนักทำการงานเพื่อดำเนินกิจการดังกล่าว สำนักงานแห่งใหญ่ อยู่เลขที่ 231/2 ถนนสาธรใต้ ตำบลยานนาวา อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานคร เป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องบริษัทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ท อาฟ 1912 อักตีเซลสกาป จำกัด และ บริษัทอักตีเซลสกาเบ็ท ดัมป์สกิป เซลสกาเบ็ท สเว็นด์บอร์ก จำกัด ซึ่งใช้ชื่อในการประกอบกิจการพาณิชย์ด้านรับส่งสินค้าในประเทศไทยว่า "สายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ" หาใช่ฟ้องสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามลำพังตนเองไม่ และดังนั้นสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ จึงอยู่ในฐานะเป็นสำนักทำการงาน อันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกันของบริษัททั้งสองดังกล่าว มิใช่กิจการและบุคคลต่างหากออกไปถือได้ว่าสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ เป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสอง เมื่อบริษัททั้งสองมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตามกำหมายถือว่าถิ่นที่มีสาขาสำนักงานเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งได้ ตามประมวบกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3234/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแพ่ง: การฟ้องบริษัทต่างด้าวที่มีสำนักงานสาขาในไทย
ในคำฟ้องช่องคู่ความ โจทก์ระบุชื่อจำเลยว่า สายเดินเรือเมอสค์สาขากรุงเทพฯ และบรรยายในฟ้องว่า จำเลยอันหมายถึงบริษัทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ทอาฟ1912อักตีเซลสกาปจำกัด และบริษัทอักตีเซลสกาเบ็ทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ทสเว็นด์บอร์ก จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของราชอาณาจักรแห่งประเทศเดนมารค์ ดำเนินธุรกิจในการขนส่งทางทะเลและจดทะเบียนพาณิชย์ต่อสำนักงานทะเบียนพาณิชย์กระทรวงพาณิชย์ และใช้ชื่อในการประกอบการพาณิชยกิจว่า "สายเดินเรือเมอสค์สาขากรุงเทพฯ" โดยมีสำนักทำการงานเพื่อดำเนินกิจการดังกล่าว สำนักงานแห่งใหญ่อยู่เลขที่ 231/2 ถนนสาธรใต้ ตำบลยานนาวา อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานคร เป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องบริษัทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ทอาฟ1912อักตีเซลสกาป จำกัด และบริษัทอักตีเซลสกาเบ็ทดัมป์สกิปเซลสกาเบ็ทสเว็นด์บอร์ก จำกัด ซึ่งใช้ชื่อในการประกอบกิจการพาณิชย์ด้านรับส่งสินค้าในประเทศไทยว่า "สายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ" หาใช่ฟ้องสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯ ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามลำพังตนเองไม่ และดังนั้นสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯจึงอยู่ในฐานะเป็นสำนักทำการงาน อันเกิดจากการประกอบกิจการร่วมกันของบริษัททั้งสองดังกล่าว มิใช่กิจการและบุคคลต่างหากออกไป ถือได้ว่าสายเดินเรือเมอสค์ สาขากรุงเทพฯเป็นสำนักงานสาขาของบริษัททั้งสอง เมื่อบริษัททั้งสองมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายถือว่าถิ่นที่มีสาขาสำนักงานเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3223/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการคัดค้านการบังคับคดี กรณีอ้างว่าทรัพย์สินเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่จำเลย
ในกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษามิใช่ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา 7(2)288 และ 296 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมตามคำร้องในเรื่องนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่างหาก
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 802/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187-3188/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายมีเงื่อนไข การเป็นตัวแทนเชิด และอำนาจฟ้องบังคับให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากตัวแทนจำหน่ายของจำเลยราคา 68,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 16,000 บาท และผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท ตลอดมา ชำระงวดสุดท้ายแล้ว 40,000 บาท เมื่อโจทก์ขอให้แก้ชื่อในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ตัวแทนของจำเลยและจำเลยขอผัดเรื่อยมาจึงขอให้บังคับจำเลยจัดการจดทะเบียนรถยนต์แก้ชื่อเป็นชื่อของโจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม โจทก์หาจำต้องแสดงหลักฐานสัญญาเช่าซื้อประกอบข้ออ้างในคำฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องว่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยโดยมี ส.ตัวแทนจำหน่ายของจำเลย ดังนี้ การที่ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยรู้แล้วยอมให้ ส.เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยต้องรับผิดเสมือนว่า ส.เป็นตัวแทนของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อหาในฟ้องที่ว่า ส.เป็นตัวแทนของจำเลย ไม่เป็นการเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้อง
แม้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทตามสัญญาซึ่งโจทก์เรียกว่าสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามสัญญานั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องเรียกชื่อสัญญาดังกล่าวว่าสัญญาเช่าซื้อ หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187-3188/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข แม้จะระบุชื่อสัญญาผิด และประเด็นตัวแทนเชิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากตัวแทนจำหน่ายของจำเลยราคา 68,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 16,000 บาท และผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาทตลอดมา ชำระงวดสุดท้ายแล้ว 40,000บาท เมื่อโจทก์ขอให้แก้ชื่อในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ตัวแทนของจำเลยขอผัดเรื่อยมา จึงขอให้บังคับจำเลยจัดการจดทะเบียนรถยนต์แก้ชื่อเป็นชื่อของโจทก์ ดังนี้ เป็นการฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม โจทก์หาจำต้องแสดงหลักฐานสัญญาเช่าซื้อประกอบข้ออ้างในคำฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องว่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยโดยมีส. ตัวแทนจำหน่ายของจำเลย ดังนี้ การที่ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยรู้แล้วยอมให้ ส. เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยต้องรับผิดเสมือนว่า ส. เป็นตัวแทนของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อหาในฟ้องที่ว่า ส. เป็นตัวแทนของจำเลย ไม่เป็นการเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้อง
แม้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทตามสัญญาซึ่งโจทก์เรียกว่าสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามสัญญานั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องเรียกชื่อสัญญาดังกล่าวว่าสัญญาเช่าซื้อ หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิรุธการชำระเงินค่างวดเช่าซื้อ และการใช้รถยนต์นอกเขตสัญญา ไม่ถือเป็นเหตุบอกเลิกสัญญา
สัญญาเช่าซื้อกำหนดว่า ถ้านำรถยนต์ออกนอกเขตที่ระบุต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือ ผิดสัญญาข้อนี้เลิกสัญญาได้แต่ข้อนี้ไม่ใช่ข้อสำคัญตามที่ มาตรา 574 บัญญัติไว้เป็นพิเศษและผู้ให้เช่าซื้อทราบเหตุนี้แล้วก็ไม่ทักท้วง จึงไม่ถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญา
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระบุว่า ชำระเงินแล้ว 45,000 บาทผู้ให้เช่าซื้อนำสืบพยานบุคคลอธิบายได้ว่า ความจริงชำระ 25,000 บาท วันหลังจึงชำระอีก 20,000 บาท แต่ศาลไม่เชื่อว่าเป็นความจริงตามที่นำสืบ
of 16