พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,151 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3608/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ต้องมีสิทธิเรียกร้องที่ชัดเจนและไม่มีข้อต่อสู้ หากมีข้อต่อสู้ยังนำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บริษัทจำเลยจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงที่ค้าง จำเลยให้การขอนำเงินทดรองจ่ายที่โจทก์เบิกไปแล้ว ไม่คืนเงินที่เหลือให้จำเลยมาหักกลบลบหนี้ เป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขอหักกลบลบหนี้ มิใช่หักหนี้โดยข้อสัญญาหรือว่าได้หักหนี้กันไปแล้ว ในวันนัดพิจารณาโจทก์แถลงว่า ได้จ่ายเงินทดรองไปในกิจการของจำเลยจนหมดสิ้นแล้ว ดังนี้ สิทธิเรียกร้องของจำเลยในเงินทดรองจ่าย โจทก์ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยจึงจะนำมาขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีรายละเอียดชัดเจน การตกลงแบบมีเงื่อนไขยังไม่ถือเป็นสัญญา
นายจ้างของคนขับรถที่ขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายมีผู้ได้รับบาดเจ็บทำบันทึกยอมจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้ใช้การ ได้ดีอยู่ในสภาพเดิมกับยอมใช้ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนให้แก่ ผู้บาดเจ็บเมื่อบริษัทประกันภัยได้พิจารณาแล้ว ไม่มีรายละเอียด หรือ ข้อตกลงที่แน่นอนอันปราศจากการโต้แย้งเป็นต้นว่าซ่อมที่อู่ไหน สภาพอย่างไรที่เรียกว่าใช้การได้ดีอยู่ในสภาพเดิม จำนวนเงินที่ จะต้องชำระ เป็นต้น โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทนของ ผู้บาดเจ็บเป็นข้อตกลงที่มีเงื่อนไข ต้องให้บริษัทประกันภัยพิจารณาเสียก่อน ซึ่งบริษัทประกันภัยอาจมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดก็ได้ จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3583/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความค่าชดเชยขัดประกาศกระทรวงมหาดไทยเป็นโมฆะ คุ้มครองฐานะลูกจ้าง
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างเป็นการคุ้มครองและอำนวยประโยชน์แก่ลูกจ้างจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งทำขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานจึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3583/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าชดเชยที่เป็นโมฆะ หากขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทยคุ้มครองแรงงาน
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างเป็นการคุ้มครองและอำนวยประโยชน์แก่ลูกจ้างจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งทำขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานจึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3567/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัด การยื่นคำให้การช้า การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาของนิติบุคคล และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด ให้พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวเพราะจำเลยไม่มาศาลในวันพิจารณา เมื่อจำเลยมาศาลในวันนัดสืบพยานและยื่นคำร้องว่าไม่จงใจขาดนัดขอให้ศาลอนุญาตให้ยื่นคำให้การแม้จะพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดซึ่งไม่อาจเพิกถอนคำสั่งนั้นได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 41 ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยมาศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรคสอง ศาลแรงงานต้องพิจารณาว่าการขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยมิได้จงใจหรือมีเหตุอันสมควรหรือไม่ หากได้ความว่าจำเลยขาดนัดโดยมิได้จงใจหรือมีเหตุอันสมควรก็ชอบที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและนัดพิจารณาคดีใหม่
ถิ่นที่สำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งทำการของนิติบุคคลอันนับว่าเป็นภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้น หมายถึงถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลตามความเป็นจริง หาใช่เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่ฉะนั้น เมื่อโจทก์ทราบว่าภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะถือเอาประโยชน์จาก การที่ในทะเบียนยังปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ภูมิลำเนาเดิมมิได้
ถิ่นที่สำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งทำการของนิติบุคคลอันนับว่าเป็นภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้น หมายถึงถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลตามความเป็นจริง หาใช่เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่ฉะนั้น เมื่อโจทก์ทราบว่าภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะถือเอาประโยชน์จาก การที่ในทะเบียนยังปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ภูมิลำเนาเดิมมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3567/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดในคดีแรงงาน การย้ายภูมิลำเนาของจำเลย และสิทธิในการยื่นคำให้การ
ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด ให้พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวเพราะจำเลยไม่มาศาลในวันพิจารณา เมื่อจำเลยมาศาลในวันนัดสืบพยานและยื่นคำร้องว่าไม่จงใจขาดนัดขอให้ศาลอนุญาตให้ยื่นคำให้การแม้จะพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดซึ่งไม่อาจเพิกถอนคำสั่งนั้นได้ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 41 ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยมาศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรคสอง ศาลแรงงานต้องพิจารณาว่าการขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยมิได้จงใจหรือมีเหตุอันสมควรหรือไม่ หากได้ความว่าจำเลยขาดนัดโดยมิได้จงใจหรือมีเหตุอันสมควรก็ชอบที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและนัดพิจารณาคดีใหม่
ถิ่นที่สำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งทำการของนิติบุคคลอันนับว่าเป็นภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้น หมายถึงถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลตามความเป็นจริง หาใช่เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่ฉะนั้น เมื่อโจทก์ทราบว่าภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะถือเอาประโยชน์จาก การที่ในทะเบียนยังปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ภูมิลำเนาเดิมมิได้
ถิ่นที่สำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งทำการของนิติบุคคลอันนับว่าเป็นภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้น หมายถึงถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลตามความเป็นจริง หาใช่เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เท่านั้นไม่ฉะนั้น เมื่อโจทก์ทราบว่าภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะถือเอาประโยชน์จาก การที่ในทะเบียนยังปรากฏว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ภูมิลำเนาเดิมมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563-3564/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกลับเข้าทำงานต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า หากต่ำกว่าถือไม่เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษา
การรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานในตำแหน่งซึ่งต่ำกว่าเดิมจะถือว่าเป็นการรับกลับเข้าทำงานเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยเลิกจ้างมิได้ เมื่อมีคำร้องของลูกจ้างว่านายจ้างมิได้ให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมศาลย่อมมีอำนาจจะวินิจฉัยว่าตำแหน่งซึ่งนายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่ำกว่าตำแหน่งเดิมหรือไม่เพราะเป็นคำสั่งในการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหาใช่เป็นการขยายความนอกเหนือไปจากคำพิพากษาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563-3564/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า หากต่ำกว่าถือไม่เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษา
การรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานในตำแหน่งซึ่งต่ำกว่าเดิมจะถือว่าเป็นการรับกลับเข้าทำงานเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยเลิกจ้างมิได้ เมื่อมีคำร้องของลูกจ้างว่านายจ้างมิได้ให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมศาลย่อมมีอำนาจจะวินิจฉัยว่าตำแหน่งซึ่งนายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่ำกว่าตำแหน่งเดิมหรือไม่เพราะเป็นคำสั่งในการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหาใช่เป็นการขยายความนอกเหนือไปจากคำพิพากษาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3562/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าครองชีพและค่าพาหนะเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจ่ายค่าครองชีพให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน มีจำนวนแน่นอนเช่นเดียวกับค่าจ้างหรือเงินเดือน ค่าครองชีพที่โจทก์ได้รับจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยด้วย
จำเลยจ่ายเงินค่าพาหนะให้โจทก์เนื่องจากตำแหน่งงานของโจทก์มีจำนวนแน่นอนในอัตราเดือนละ 1,200 บาท เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ จึงเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515
สินจ้างโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 นั้นรวมถึงค่าครองชีพและค่าพาหนะที่โจทก์ได้รับด้วย เพราะเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
จำเลยจ่ายเงินค่าพาหนะให้โจทก์เนื่องจากตำแหน่งงานของโจทก์มีจำนวนแน่นอนในอัตราเดือนละ 1,200 บาท เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ จึงเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515
สินจ้างโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 นั้นรวมถึงค่าครองชีพและค่าพาหนะที่โจทก์ได้รับด้วย เพราะเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3562/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าครองชีพและค่าพาหนะเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างบอกกล่าวล่วงหน้า
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจ่ายค่าครองชีพให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน มีจำนวนแน่นอนเช่นเดียวกับค่าจ้างหรือเงินเดือน ค่าครองชีพที่โจทก์ได้รับจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยด้วย
จำเลยจ่ายเงินค่าพาหนะให้โจทก์เนื่องจากตำแหน่งงานของโจทก์มีจำนวนแน่นอนในอัตราเดือนละ 1,200 บาท เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ จึงเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515
สินจ้างโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 นั้นรวมถึงค่าครองชีพและค่าพาหนะที่โจทก์ได้รับด้วย เพราะเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
จำเลยจ่ายเงินค่าพาหนะให้โจทก์เนื่องจากตำแหน่งงานของโจทก์มีจำนวนแน่นอนในอัตราเดือนละ 1,200 บาท เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ จึงเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515
สินจ้างโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 นั้นรวมถึงค่าครองชีพและค่าพาหนะที่โจทก์ได้รับด้วย เพราะเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง