คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมบูรณ์ บุญภินนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,151 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต จงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อาจเป็นการละเมิดได้ ศาลต้องสืบพยานก่อนวินิจฉัย
การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไป ไม่มีสิทธิในทางภาระจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามโจทก์ โอนขาย จำหน่ายที่ดิน หากมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อนการสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียจึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อมาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3825/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถที่สี่แยกหมู่บ้าน การลดความเร็วและให้สัญญาณเสียงสำคัญต่อความปลอดภัย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาถึงสี่แยกก่อนจำเลยที่ 1 หรือขับรถผ่านสี่แยกจนตัวรถเลยถึงถึงกลางสี่แยกไปแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะขับรถอยู่ด้านซ้ายของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 71(2)
การขับรถในกรณีที่ผู้ขับขี่ต่างขับรถอยู่ในถนนซอยในหมู่บ้านและกำลังจะผ่านสี่แยก ซึ่งทั้งสี่มุมเป็นบ้านพักอาศัยซึ่งรั้วบ้านสูงจนผู้ขับขี่ไม่สามารถเห็นรถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกด้านอื่น ผู้ขับขี่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 70 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วม ทางแยกทางข้ามเส้นให้หยุดหรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ" ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ขับรถผ่านสี่แยกดังกล่าวโดยมิได้ลดความเร็วของรถและมิได้ให้แตรสัญญาณก่อนขับรถผ่านสี่แยก ทั้งที่บริเวณสี่แยก ไม่มีเครื่องหมายการจราจร และไม่สามารถเห็นรถซึ่งอยู่ในทางร่วมทางแยกด้านอื่น ถือว่าเป็นการขับรถโดยประมาท เมื่อรถซึ่งจำเลยที่ 2ขับชนกับรถซึ่งจำเลยที่ 1 ขับตรงสี่แยกเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3825/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถที่สี่แยก การลดความเร็วและให้สัญญาณเสียงเพื่อความปลอดภัย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาถึงสี่แยกก่อน จำเลยที่1หรือขับรถผ่านสี่แยกจนตัวรถเลยถึงถึงกลางสี่แยกไปแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะขับรถอยู่ด้านซ้ายของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 71(2) การขับรถในกรณีที่ผู้ขับขี่ต่างขับรถอยู่ในถนนซอยในหมู่บ้าน และกำลังจะผ่านสี่แยก ซึ่งทั้งสี่มุมเป็นบ้านพักอาศัยซึ่งรั้วบ้านสูง จนผู้ขับขี่ไม่สามารถเห็นรถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกด้านอื่น ผู้ขับขี่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 70ซึ่งบัญญัติว่า 'ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วม ทางแยกทางข้ามเส้นให้หยุดหรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ'ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ขับรถผ่านสี่แยกดังกล่าวโดยมิได้ลดความเร็ว ของรถและมิได้ให้แตรสัญญาณก่อนขับรถผ่านสี่แยกทั้งที่บริเวณสี่แยก ไม่มีเครื่องหมายการจราจรและไม่สามารถเห็นรถซึ่งอยู่ในทางร่วมทางแยก ด้านอื่น ถือว่าเป็นการขับรถโดยประมาทเมื่อรถซึ่งจำเลยที่ 2ขับชนกับรถ ซึ่งจำเลยที่1ขับตรงสี่แยกเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย และถึงแก่ความตาย จำเลยที่2 ย่อมมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโยกย้ายลูกจ้างระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้องทางแรงงานเป็นโมฆะ หากไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ แผนกยานพาหนะและขนส่งกองคลังพัสดุ ประจำทำงานในต่างจังหวัดกับเป็นสมาชิกและอนุกรรมการสหภาพแรงงานพนักงานของจำเลย สหภาพแรงงานดังกล่าวได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยและแต่งตั้งโจทก์ เป็นที่ปรึกษา ต่อมาในระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้องจำเลยมีคำสั่งโยกย้ายโจทก์ไปทำงานตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ แผนกบริการและควบคุม ยานพาหนะกองยานพาหนะ ซึ่งต้องประจำทำงานที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้ การที่จำเลยมีคำสั่งโยกย้ายโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 31 วรรคหนึ่งและการที่จำเลยปรับปรุงโครงสร้างงานใหม่ และจำเป็นต้อง โยกย้ายลูกจ้างซึ่งล้นงานไปประจำหน่วยงานอื่นนั้นไม่ใช่เหตุหนึ่งเหตุใด ตามมาตรา31(1) ถึง (4) จำเลยจึงไม่มีอำนาจโยกย้ายหน้าที่การงาน ของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโยกย้ายลูกจ้างระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้องขัดต่อ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ แม้มีการปรับโครงสร้างองค์กร
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ แผนกยานพาหนะและขนส่ง กองคลังพัสดุ ประจำทำงานในต่างจังหวัด กับเป็นสมาชิกและอนุกรรมการสหภาพแรงงานพนักงานของจำเลย สหภาพแรงงานดังกล่าวได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยและแต่งตั้งโจทก์เป็นที่ปรึกษา ต่อมาในระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้อง จำเลยมีคำสั่งโยกย้ายโจทก์ไปทำงานตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ แผนกบริการและควบคุมยานพาหนะ กองยานพาหนะ ซึ่งต้องประจำทำงานที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้ การที่จำเลยมีคำสั่งโยกย้ายโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนต่อ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 31 วรรคหนึ่งและการที่จำเลยปรับปรุงโครงสร้างงานใหม่ และจำเป็นต้องโยกย้ายลูกจ้างซึ่งล้นงานไปประจำหน่วยงานอื่นนั้นไม่ใช่เหตุหนึ่งเหตุใดตามมาตรา 31(1) ถึง (4) จำเลยจึงไม่มีอำนาจโยกย้ายหน้าที่การงานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างทำงานในเรือระหว่างประเทศ แต่เริ่มต้น/สิ้นสุดงานในกรุงเทพฯ ถือทำงานในประเทศไทย ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
บริษัทโจทก์มีลูกจ้าง 70 คน ประจำสำนักงานไม่ถึง 20 คนนอกนั้น ประจำอยู่ในเรือบรรทุกสินค้า 3 ลำ รับจ้างบรรทุกสินค้าระหว่างท่าเรือในกรุงเทพมหานครและในจังหวัดสมุทรปราการกับต่างประเทศ เรือสินค้าของโจทก์จะกลับมาประเทศไทยอย่างเร็วประมาณ 1 เดือน อย่างช้าประมาณ 4 เดือนครั้งหนึ่ง และจะอยู่ในประเทศไทยไม่เกิน 7 วัน ดังนี้ แม้ว่างานและเวลาส่วนใหญ่ลูกจ้างโจทก์จะทำงานในต่างประเทศ แต่การบรรทุกสินค้าเพื่อไปส่งต่างประเทศก็ดี บรรทุกสินค้าจากต่างประเทศกลับมายังท่าเรือในเขตกรุงเทพมหานครก็ดี การเริ่มต้นงานและสิ้นสุดงานแต่ละเที่ยวเกิดในเขตกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น ถือได้ว่าลูกจ้างโจทก์ทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
ความมุ่งหมายที่กฎหมายตั้งกองทุนเงินทดแทนขึ้นมานั้นมิใช่เพื่อ หาประโยชน์แต่เพื่อคุ้มครองลูกจ้างโดยทั่วไป มิใช่เฉพาะลูกจ้างของโจทก์เท่านั้น เพื่อให้ลูกจ้างได้รับเงินทดแทนโดยมิต้องเสี่ยงกับฐานะการเงิน ของนายจ้าง กองทุนเงินทดแทนอาจต้องจ่ายเงินทดแทนจำนวนมากกว่าเงินสมทบทุนที่เรียกเก็บจากนายจ้างก็ได้ดังนั้น เมื่อกฎหมายกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โจทก์ก็ต้องปฏิบัติตาม แม้ว่ากองทุนเงินทดแทนจะไม่มีโอกาสจ่ายค่าทดแทน ให้แก่ลูกจ้างโจทก์ในปีดังกล่าวก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างทำงานในเรือนอกประเทศ แต่เริ่มต้น/สิ้นสุดงานในไทย ถือทำงานในเขตกรุงเทพฯ นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
บริษัทโจทก์มีลูกจ้าง 70 คน ประจำสำนักงานไม่ถึง 20คนนอกนั้น ประจำอยู่ในเรือบรรทุกสินค้า3 ลำรับจ้างบรรทุกสินค้าระหว่างท่าเรือ ในกรุงเทพมหานครและในจังหวัดสมุทรปราการกับต่างประเทศ เรือสินค้า ของโจทก์จะกลับมาประเทศไทยอย่างเร็วประมาณ1 เดือนอย่างช้า ประมาณ4เดือนครั้งหนึ่งและจะอยู่ในประเทศไทยไม่เกิน 7 วันดังนี้แม้ว่างานและเวลาส่วนใหญ่ลูกจ้างโจทก์จะทำงานในต่างประเทศ แต่การบรรทุกสินค้าเพื่อไปส่งต่างประเทศก็ดีบรรทุกสินค้าจากต่างประเทศ กลับมายังท่าเรือในเขตกรุงเทพมหานครก็ดี การเริ่มต้นงานและสิ้นสุดงาน แต่ละเที่ยวเกิดในเขตกรุงเทพมหานครทั้งสิ้นถือได้ว่าลูกจ้างโจทก์ทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ความมุ่งหมายที่กฎหมายตั้งกองทุนเงินทดแทนขึ้นมานั้นมิใช่เพื่อ หาประโยชน์แต่เพื่อคุ้มครองลูกจ้างโดยทั่วไปมิใช่เฉพาะลูกจ้างของโจทก์ เท่านั้นเพื่อให้ลูกจ้างได้รับเงินทดแทนโดยมิต้องเสี่ยงกับฐานะการเงิน ของนายจ้างกองทุนเงินทดแทนอาจต้องจ่ายเงินทดแทนจำนวนมากกว่า เงินสมทบทุนที่เรียกเก็บจากนายจ้างก็ได้ดังนั้น เมื่อกฎหมายกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 โจทก์ก็ต้องปฏิบัติตาม แม้ว่ากองทุนเงินทดแทนจะไม่มีโอกาสจ่ายค่าทดแทน ให้แก่ลูกจ้างโจทก์ในปีดังกล่าวก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ใช้ภาษาพูดในรายงาน ไม่เข้าข่ายผิดวินัย ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
การที่โจทก์ทำรายงานประจำวันเสนอต่อจำเลยด้วยถ้อยคำที่เป็น ภาษาพูดตามธรรมดาของชาวบ้านโดยมิได้ใช้ภาษาหนังสือที่ควรจะใช้แต่ ข้อความในรายงานนั้นเป็นเรื่องคล้ายกับการเสนอแนะให้จำเลยปรับปรุง วิธีการทำงานของจำเลยให้รัดกุมและรวดเร็วซึ่งนับว่าจะก่อให้เกิดผลดี แก่จำเลย การกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำผิด ต่อข้อบังคับของจำเลยอันพึงต้องถูกลงโทษทางวินัยและจำเลยก็มิได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์โดยตรง ผลที่อาจจะมีหรือเกิดขึ้น ก็เป็นเพียงความไม่สบายใจของผู้ร่วมปฏิบัติงานหรือผู้บังคับบัญชา ของโจทก์เท่านั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุนี้จึงเป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นเงินจำนวนหนึ่งกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีกจำนวนหนึ่ง การที่ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทในปัญหาข้อนี้ โดยใช้ถ้อยคำว่าค่าเสียหายเท่าใดโดยมิได้ใช้ถ้อยคำว่าค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวนเท่าใดโดยเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ กรณีจึงต้องหมายความรวมถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นด้วยอยู่ในตัว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ด้วยนั้น จึงไม่เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ใช้ภาษาพูดในรายงานต่อผู้บังคับบัญชา หากมิขัดต่อข้อบังคับและไม่ทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง
การที่โจทก์ทำรายงานประจำวันเสนอต่อจำเลยด้วยถ้อยคำที่เป็น ภาษาพูดตามธรรมดาของชาวบ้านโดยมิได้ใช้ภาษาหนังสือที่ควรจะใช้ แต่ข้อความในรายงานนั้นเป็นเรื่องคล้ายกับการเสนอแนะให้จำเลยปรับปรุงวิธีการทำงานของจำเลยให้รัดกุมและรวดเร็วซึ่งนับว่าจะก่อให้เกิดผลดีแก่จำเลย การกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำผิดต่อข้อบังคับของจำเลยอันพึงต้องถูกลงโทษทางวินัยและจำเลยก็มิได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์โดยตรง ผลที่อาจจะมีหรือเกิดขึ้นก็เป็นเพียงความไม่สบายใจของผู้ร่วมปฏิบัติงานหรือผู้บังคับบัญชาของโจทก์เท่านั้น การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงินจำนวนหนึ่ง กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอีกจำนวนหนึ่งการที่ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทในปัญหาข้อนี้โดยใช้ถ้อยคำว่า ค่าเสียหายเท่าใด โดยมิได้ใช้ถ้อยคำว่าค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวนเท่าใดโดยเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ กรณีจึงต้องหมายความรวมถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นด้วยอยู่ในตัว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ด้วยนั้นจึงไม่เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการเมื่อผู้ช่วยฯ กระทำละเมิด โดยผู้จัดการมีหน้าที่จำกัดเฉพาะงานนโยบาย
จำเลยที่1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์จำเลยที่ 2เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ตามข้อบังคับของโจทก์ข้อ 53 ระบุว่าหากผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความเสียหายผู้จัดการต้องรับผิดชอบด้วย แต่ในการแต่งตั้ง จำเลยที่1 นั้นจำเลยที่1 ขอรับหน้าที่เฉพาะงานนโยบายเท่านั้นซึ่งคณะกรรมการของโจทก์ตกลงยินยอมด้วยส่วนการบริหารงาน ร้านโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยที่2 เป็น ผู้บริหารงานของโจทก์ แต่ผู้เดียวตลอดมาดังนี้จำเลยที่ 1ไม่มีหน้าที่บริหารงานของโจทก์ และการบริหารงานของจำเลยที่2 มิใช่การทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับข้อ 53 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับ จำเลย ที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงจะอาศัยข้อบังคับดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่
of 216