พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,151 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จกับการจ่ายค่าชดเชย: ข้อบังคับบริษัทจำกัดขอบเขตการรวมค่าชดเชยเฉพาะส่วนที่เกินกฎหมาย
เงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปคำนวณตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยภาคผนวก 3 ข้อ 3 ก. ซึ่งข้อ 4 ก. กำหนดว่า 'เงินบำเหน็จที่กล่าวในข้อ 3 จะถือว่าได้รวม ไว้แล้วซึ่งเงินค่าชดเชยที่บริษัทพึงจ่ายตามภาคผนวก 5 ใน ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนด' และภาคผนวก 5 กำหนดว่า 'ค่าชดเชย (1) ลูกจ้างซึ่งให้ออกจากงานเพราะ มีลูกจ้างเกินอัตราหรือลูกจ้างซึ่งถูกให้ออกจากงานโดย ไม่มีความผิดมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน(2) กรณีลูกจ้างถูกให้ออกจากงาน ถ้าเป็นลูกจ้างซึ่ง ทำงานมาเกินกว่า 6 ปีแล้วให้ลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิ ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเท่ากับเงินเดือนของแต่ ละปีเป็นจำนวน 1 เดือนต่อปี ฯลฯ' ดังนี้เห็นได้ว่า เงินบำเหน็จคงรวมไว้แล้วซึ่งค่าชดเชยเฉพาะในส่วนที่เกิน กว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนดคือตามภาคผนวก 5(2) เท่านั้นมิได้รวมถึงค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน ตามภาคผนวก 5(1) เงินบำเหน็จที่โจทก์รับไปแล้วจึงไม่มี ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน รวมอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การประกอบธุรกิจส่วนตัวในเวลางาน และการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
ข้อบังคับการทำงานของจำเลยกำหนดว่า พนักงานต้องอุทิศเวลาให้แก่บริษัทฯ ไม่มาสายหรือกลับก่อนเวลาทำงาน หรือหลับในเวลาปฏิบัติงานหรือปฏิบัติงานล่าช้าโดยเจตนาหรือหลีกเลี่ยงการทำงาน ฯลฯ ดังนั้น การที่โจทก์ใช้เวลาทำงานประกอบธุรกิจส่วนตัวย่อมถือว่าปฏิบัติงานล่าช้าโดยเจตนาและหลีกเลี่ยงการงานอยู่ในตัวแล้ว โจทก์จึงได้ชื่อว่าไม่อุทิศเวลาให้แก่นายจ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่าการประกอบธุรกิจส่วนตัวของโจทก์เกิดขึ้น ก่อนหรือหลังจากที่จำเลยเพิ่มค่าจ้างให้โจทก์แล้ว จึงไม่อาจถือเอาการเพิ่มค่าจ้างเป็นข้อยกเว้นว่าการประกอบธุรกิจส่วนตัวในเวลาทำงานไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงาน เพราะการจะพิจารณาว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าการเลิกจ้างนั้นมีสาเหตุอันควรหรือไม่ หากนายจ้างเลิกจ้างโดยปราศจากสาเหตุหรือเป็นการกลั่นแกล้งลูกจ้าง การเลิกจ้างนั้นจึงจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ใช้เวลาทำงานประกอบธุรกิจส่วนตัวภายในสำนักงาน เป็นเหตุให้พนักงานอื่นต้องหยุดการทำงานเพื่อเลือกสรรเครื่องประดับที่โจทก์นำมาเสนอขายการกระทำของโจทก์ถือได้ว่ากระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)
การที่โจทก์แนะนำคนรู้จักหรือญาติพี่น้องเข้าสมัครทำงานกับจำเลยแล้วคัดเลือกใบสมัครเฉพาะพรรคพวกของโจทก์ส่งไป ทั้งที่มีผู้สมัครหลายราย แต่โจทก์แจ้งว่ามีผู้สมัครเฉพาะเท่าที่โจทก์ส่งไป เป็นการตัดโอกาสที่จำเลยจะคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมได้ แม้โจทก์จะได้รับความยำเกรงจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกและเป็นการสร้างสมบารมีก็ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ในเชิงทรัพย์สินการกระทำของโจทก์หาเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(1) ไม่
โจทก์ใช้เวลาทำงานประกอบธุรกิจส่วนตัวภายในสำนักงาน เป็นเหตุให้พนักงานอื่นต้องหยุดการทำงานเพื่อเลือกสรรเครื่องประดับที่โจทก์นำมาเสนอขายการกระทำของโจทก์ถือได้ว่ากระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)
การที่โจทก์แนะนำคนรู้จักหรือญาติพี่น้องเข้าสมัครทำงานกับจำเลยแล้วคัดเลือกใบสมัครเฉพาะพรรคพวกของโจทก์ส่งไป ทั้งที่มีผู้สมัครหลายราย แต่โจทก์แจ้งว่ามีผู้สมัครเฉพาะเท่าที่โจทก์ส่งไป เป็นการตัดโอกาสที่จำเลยจะคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมได้ แม้โจทก์จะได้รับความยำเกรงจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกและเป็นการสร้างสมบารมีก็ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ในเชิงทรัพย์สินการกระทำของโจทก์หาเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(1) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281-2282/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การจ่ายค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน และดอกเบี้ย
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯมาตรา 49 นั้น หมายถึงการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอันสมควร มิได้หมายความว่าถ้านายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้กระทำผิดแล้วจะถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมไม่จำเลยให้การว่าจำเลยประสบปัญหาเรื่องการเงินและขาดเงินทุนดำเนินการ จำเลยจึงปรับปรุงกิจการโดยยุบเลิกตำแหน่งและหน่วยงานซึ่งโจทก์ดำรงอยู่และไม่สามารถจัดหาตำแหน่งอื่นทดแทนแก่โจทก์ได้คำให้การของจำเลยดังนี้ แสดงเหตุของการเลิกจ้างไว้โดยชัดแจ้ง หาใช่คำให้การ ที่ไม่มีประเด็นไม่
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมว่าจำเลยเลิกจ้างโดยอ้างว่ายุบเลิกตำแหน่งและหน่วยงานที่โจทก์ดำรงอยู่ ซึ่งไม่เป็นความจริงและหาได้กล่าวอ้างถึงเหตุอื่นไม่ ฉะนั้นโจทก์จะยกเหตุอื่นนอกเหนือจากเหตุที่กล่าวในฟ้องมาเป็นข้ออุทธรณ์หาได้ไม่ เพราะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่หนี้เงินซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างทันทีที่เลิกจ้าง ดังนั้นนายจ้างจะผิดนัดต่อเมื่อลูกจ้างทวงถามเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง โดยไม่ต้องทวงถาม เมื่อจำเลยไม่จ่าย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมว่าจำเลยเลิกจ้างโดยอ้างว่ายุบเลิกตำแหน่งและหน่วยงานที่โจทก์ดำรงอยู่ ซึ่งไม่เป็นความจริงและหาได้กล่าวอ้างถึงเหตุอื่นไม่ ฉะนั้นโจทก์จะยกเหตุอื่นนอกเหนือจากเหตุที่กล่าวในฟ้องมาเป็นข้ออุทธรณ์หาได้ไม่ เพราะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่หนี้เงินซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างทันทีที่เลิกจ้าง ดังนั้นนายจ้างจะผิดนัดต่อเมื่อลูกจ้างทวงถามเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง โดยไม่ต้องทวงถาม เมื่อจำเลยไม่จ่าย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2279-2280/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าล่วงเวลา: การทำงานนอกเวลาปกติ แม้มีช่วงพัก ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาเต็มตามเวลาที่ต้องประจำหน้าที่
นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างไว้แน่นอน และกำหนดให้วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ การที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานนอกเหนือจากกำหนดเวลาดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันทำงานหรือทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์เกินกำหนดเวลาทำงานปกติหรือเกินกำหนดเวลาทำงานปกติของวันทำงานระยะเวลาซึ่งจะนำมาคำนวณค่าล่วงเวลาย่อมนับเวลาทั้งหมดคือ ตั้งแต่ลูกจ้างเริ่มทำงานนอกเวลาจนถึงเวลาหมดหน้าที่หรือเสร็จสิ้นการงานแม้ในระหว่างเวลาดังกล่าว ลูกจ้างมีงานทำเพียงบางครั้งบางคราวแต่เวลาที่ไม่มีงานทำลูกจ้างก็มีหน้าที่ต้องอยู่ประจำตามหน้าที่เพื่อรอรับคำสั่ง ต้องถือว่าลูกจ้างทำงานอย่างหนึ่งให้นายจ้าง นายจ้างจะจ่ายค่าล่วงเวลาโดยคิดเฉพาะระยะเวลาช่วงที่ลูกจ้างปฏิบัติงานเท่านั้นหาได้ไม่ นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาเต็มตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2234/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งข้าราชการเป็นการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ใช่โยกย้ายหน้าที่ หากตำแหน่งใหม่มีความสำคัญสูงกว่า
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งนิติกร 4 แผนกการตลาดเมื่อปรากฏว่าหัวหน้าแผนกการตลาดเป็นพนักงานระดับ 5 ส่วนหัวหน้าคณะที่ปรึกษาเป็นพนักงานระดับ 6 คณะที่ปรึกษาเป็น ผู้ให้คำปรึกษาแก่จำเลยในเมื่อมีปัญหาจากทุกแผนก รวมทั้ง แผนกการตลาดนิติกร 4 ของคณะที่ปรึกษาจึงมีความสำคัญยิ่งกว่านิติกร 4 แผนกการตลาดการที่จำเลยออกคำสั่งแต่งตั้งโจทก์เป็นนิติกร4คณะที่ปรึกษาจึงเป็นการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานของโจทก์ให้สูงขึ้นถือไม่ได้ว่าเป็นการ โยกย้ายหน้าที่ตามความหมายของมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2234/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ที่ไม่ถือเป็นการโยกย้ายตามมาตรา 31 พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ หากเป็นการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งนิติกร 4 แผนกการตลาดเมื่อปรากฏว่าหัวหน้าแผนกการตลาดเป็นพนักงานระดับ 5 ส่วนหัวหน้าคณะที่ปรึกษาเป็นพนักงานระดับ 6 คณะที่ปรึกษาเป็น ผู้ให้คำปรึกษาแก่จำเลยในเมื่อมีปัญหาจากทุกแผนก รวมทั้ง แผนกการตลาดนิติกร 4 ของคณะที่ปรึกษาจึงมีความสำคัญยิ่งกว่านิติกร 4 แผนกการตลาดการที่จำเลยออกคำสั่งแต่งตั้ง โจทก์เป็นนิติกร 4 คณะที่ปรึกษาจึงเป็นการเลื่อนตำแหน่ง หน้าที่การงานของโจทก์ให้สูงขึ้นถือไม่ได้ว่าเป็นการ โยกย้ายหน้าที่ตามความหมายของมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ .2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191-2206/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง: ค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน แม้มิได้แจ้งความจำนง
ระเบียบกำหนดว่าการลาพักผ่อนประจำปีลูกจ้างผู้มีสิทธิจะขอลาหยุดพักผ่อนเมื่อใดก็ได้และจะหยุดพักผ่อนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วเมื่อนายจ้างมิได้กำหนดวันหยุดพักผ่อนไว้ว่าลูกจ้างจะต้องหยุดพักผ่อนเมื่อใดให้เป็นที่แน่นอนระเบียบที่ให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้แต่ละปีนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการที่นายจ้างกำหนดวันหยุดพักผ่อนให้แล้วทั้งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 กำหนดว่าถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิ ได้รับตามข้อ 10 และข้อ 32 ด้วยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้ลูกจ้างต้องแจ้งความจำนงขอหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ อย่างใดเมื่อลูกจ้างไม่ได้ขอใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีพ.ศ.2525,2526 และ 2527 เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างประจำปีจึงหาได้รวมถึงค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดและยังมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้ใช้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงาน และผู้ที่เข้าเป็นพนักงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้ามดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ.2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิ ได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ.2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงาน และผู้ที่เข้าเป็นพนักงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้ามดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ.2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิ ได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ.2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191-2206/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง: ค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี แม้เกษียณอายุ
ระเบียบกำหนดว่าการลาพักผ่อนประจำปีลูกจ้างผู้มีสิทธิจะขอลาหยุดพักผ่อนเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดพักผ่อนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วเมื่อนายจ้างมิได้กำหนด วันหยุดพักผ่อนไว้ว่าลูกจ้างจะต้องหยุดพักผ่อนเมื่อใดให้เป็น ที่แน่นอนระเบียบที่ให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้แต่ละปีนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการที่นายจ้างกำหนดวันหยุดพักผ่อนให้แล้ว ทั้งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 กำหนดว่าถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิ ได้รับตามข้อ 10 และข้อ 32 ด้วยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้ลูกจ้างต้องแจ้งความจำนงขอหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ อย่างใดเมื่อลูกจ้างไม่ได้ขอใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ.2525, 2526 และ 2527 เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างประจำปีจึงหาได้รวมถึงค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดและยังมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีที่ ยังมิได้ใช้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า 1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงานและผู้ที่เข้าเป็นพนักงาน นับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้าม ดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก 1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือนก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ. 2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า 1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงานและผู้ที่เข้าเป็นพนักงาน นับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้าม ดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก 1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือนก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ. 2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกจ้างเหมาประจำมีสิทธิค่าชดเชย แม้จ่ายค่าแรงตามผลงาน การคำนวณต้องใช้ค่าจ้าง 180 วันสุดท้าย
โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นคนงานเหมาประจำได้ค่าจ้างเป็นรายเทการทำงานต้องเซ็นชื่อไปและกลับแม้ไม่มีงานให้ทำการ ลางานต้องยื่นใบลาการบังคับบัญชาขึ้นต่อหมวดพัสดุมี สิทธิได้รับค่าครองชีพ เบิกค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียนบุตร ได้ มีสิทธิทำงานไปจนเกษียณอายุคนงานประเภท เหมาชั่วคราวของจำเลยไม่มีสิทธิต่างๆดังกล่าว การจ่ายค่าแรงของคนงานเหมาประจำหากได้ค่าแรงน้อยกว่าเดือนละ530บาทก็จะได้รับ 530 บาทแสดงว่าจำเลยมิได้คำนึงถึงผลสำเร็จ แห่งงานที่โจทก์ทำให้จำเลยแม้การจ่ายค่าแรงจำเลยจะคิด ให้แก่ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุราจากจำนวนเทของสุราที่บรรจุขวดและผู้ทำหน้าที่ล้างขวดสุราจำเลยจ่ายค่าแรงให้เท่ากับ ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุรา การคิดค่าแรงตามจำนวนเทจึงเป็นเพียงวิธีการคำนวณค่าจ้างเท่านั้นไม่ใช่การคิดค่าแรงงานตาม ผลงานที่คนงานประจำทำได้ในแต่ละวันความสัมพันธ์ระหว่าง โจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะ มีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์จ้างแรงงาน: คนงานเหมาประจำมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อเกษียณอายุ
โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นคนงานเหมาประจำได้ค่าจ้างเป็นรายเทการทำงานต้องเซ็นชื่อไปและกลับแม้ไม่มีงานให้ทำการ ลางานต้องยื่นใบลาการบังคับบัญชาขึ้นต่อหมวดพัสดุมี สิทธิได้รับค่าครองชีพเบิกค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียนบุตร ได้ มีสิทธิทำงานไปจนเกษียณอายุคนงานประเภท เหมาชั่วคราวของจำเลยไม่มีสิทธิต่าง ๆ ดังกล่าว การจ่ายค่าแรงของคนงานเหมาประจำหากได้ค่าแรงน้อยกว่าเดือนละ 530 บาท ก็จะได้รับ 530 บาท แสดงว่าจำเลยมิได้คำนึงถึงผลสำเร็จ แห่งงานที่โจทก์ทำให้จำเลยแม้การจ่ายค่าแรงจำเลยจะคิด ให้แก่ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุราจากจำนวนเทของสุราที่บรรจุขวดและผู้ทำหน้าที่ล้างขวดสุราจำเลยจ่ายค่าแรงให้เท่ากับ ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุรา การคิดค่าแรงตามจำนวนเทจึงเป็นเพียงวิธีการคำนวณค่าจ้างเท่านั้นไม่ใช่การคิดค่าแรงงานตาม ผลงานที่คนงานประจำทำได้ในแต่ละวันความสัมพันธ์ระหว่าง โจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน
เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะมีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะมีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย