คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมบูรณ์ บุญภินนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,151 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3843/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสัญญาซื้อขาย, อายุความค่าเสียหาย, และผลของการคืนสัญญาค้ำประกันโดยเข้าใจผิด
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยมีว่า ถ้ามีกรณีโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อสัญญา อันคู่สัญญาจะตกลงประนีประนอมกันมิได้ ให้คู่สัญญาเสนอข้อพิพาทที่โต้แย้งต่ออนุญาโตตุลาการที่พักอาศัยในประเทศไทยเพื่อชี้ขาด โดยต่างฝ่ายต่างมีสิทธิตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายละหนึ่งคนนั้น หมายถึงข้อขัดแย้งอันเป็นอุปสรรคที่ทำให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ การที่จำเลยที่ 1 ส่งของไม่ตรงตามกำหนดสัญญาและส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับพิธีศุลกากรให้โจทก์ล่าช้า จึงมิใช่ข้อขัดแย้งอันเกิดจากสัญญาซึ่งจะต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ทั้งตามสัญญาก็ไม่มีข้อห้ามว่ากรณีที่มิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการแล้ว ห้ามมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฟ้องคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลได้
จำเลยมิได้ยกอายุความเกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การคงให้การต่อสู้เฉพาะเรื่องเบี้ยปรับ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความเกี่ยวกับค่าเสียหายมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นแม้ศาลชั้นต้นจะรับวินิจฉัยหรือศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยไม่มีผลทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์คืนสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยปรับกับค่าเสียหายให้โจทก์แล้ว ดังนี้ไม่ทำให้สัญญาค้ำประกันระงับ จำเลยที่ 2ยังผูกพันต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ: จำเลยต้องเห็นเหตุการณ์จริง หากให้การเท็จว่าเห็น ย่อมมีความผิด แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะกระทำผิดจริง
ความสำคัญของคดีแจ้งความเท็จอยู่ที่ว่า จำเลยเห็นเหตุการณ์การกระทำผิดของผู้อื่นตามที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้อื่นกระทำผิดหรือไม่ เพราะแม้ผู้อื่นกระทำผิดจริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นการกระทำผิดแล้วบังอาจให้การว่าเห็น ก็มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การที่จำเลยให้การเท็จว่าเห็นเหตุการณ์แล้วขอถอนคำให้การอ้างว่าที่ให้การไว้เพราะได้รับการเสื้ยมสอน จำเลยก็ยังมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา172, 174
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา181(2) ข้อความที่ว่าเป็นการกระทำในกรณีแห่งข้อหา ว่าผู้อื่นกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไปนั้น หมายถึง อัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและการลาออกของลูกจ้าง นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแทนวันหยุด
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 10 ที่กำหนดว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันแล้วครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่าปีละหกวันทำงาน โดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดล่วงหน้าให้ นั้น เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะหยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อทำงานครบหนึ่งปีแล้วมิได้เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเลือกเอาค่าจ้างแทนการหยุดพักผ่อนประจำปี การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิและลาออกจากงานไปก่อนจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 45 ที่กำหนดว่า ถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำ โดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง จะนำมาใช้บังคับกับกรณีที่ลูกจ้างลาออกจากงานหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและการจ่ายค่าจ้างเมื่อลาออก ลูกจ้างมีสิทธิเลือกใช้สิทธิหยุดพักผ่อน ไม่สามารถเรียกร้องค่าจ้างแทนได้
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯข้อ 10 ที่กำหนดว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันแล้วครบหนึ่งปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่าปีละหกวันทำงาน โดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดล่วงหน้าให้ นั้น เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะหยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อทำงานครบหนึ่งปีแล้ว มิได้เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเลือกเอาค่าจ้างแทนการหยุดพักผ่อนประจำปี การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิและลาออกจากงานไปก่อน จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 45 ที่กำหนดว่า ถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำ โดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง จะนำมาใช้บังคับกับกรณีที่ลูกจ้างลาออกจากงานหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3669/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนโอนรถยนต์ตามคำพิพากษา แม้กรรมสิทธิ์โอนไปแล้ว แต่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ครบถ้วน
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่บังคับให้จำเลยโอนรถยนต์โดยสารพิพาท ให้เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ โดยให้ไปจดทะเบียนโอนนั้น จำเลยย่อม มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของ และกระทำการอันจำเป็นเพื่อให้มีการจดทะเบียนได้ตาม คำพิพากษา การที่จำเลยเพียงแต่นำเอาเอกสารหลักฐานการโอนทะเบียนไปมอบไว้ต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้โจทก์รับไปจัดการจดทะเบียนเอง ครั้นโจทก์นำไปจัดการปรากฏว่ามีเหตุขัดข้อง เพราะต้องไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน และผู้ที่จะไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือบุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ทั้งต้องนำรถไปตรวจสภาพด้วย จำเลยจึงยังหาได้ดำเนินการจดทะเบียนโอน รถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ตามคำพิพากษาไม่ แม้ขณะศาล พิพากษารถยนต์โดยสารได้ตกมาอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียนขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 4 จำเลยจึงได้ดำเนินการทำหลักฐานการโอนทะเบียนให้ต่อนายทะเบียนขนส่งเพื่อให้ คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับได้แต่เมื่อตามหลักฐานที่จำเลยทำให้ ไปยังไม่อาจจดทะเบียนโอนรถยนต์โดยสารพิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเจ้าของได้ เพราะต้องให้บุคคลอื่นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน ไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานทะเบียนรถยนต์กรมตำรวจเสียก่อน จำเลยจึงจะอ้างว่าได้ปฏิบัติชอบด้วยคำพิพากษาแล้วมิได้
หากรถยนต์โดยสารพิพาททรุดโทรมจนไม่อยู่ในสภาพที่จะจดทะเบียนโอนกันได้ ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีจำเลยไม่สามารถจดทะเบียน โอนรถยนต์โดยสารพิพาทได้ ซึ่งตามคำพิพากษากำหนดว่าจำเลยจะ ต้องชำระเงินค่ารถพิพาท 2 คัน จำนวน 300,000บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยนั่นเอง จำเลยจะอ้างเอาการที่รถทรุดโทรมเพราะ การใช้ตามปกติของโจทก์มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วมิได้
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์โดยสารพิพาทได้โอนไปยังโจทก์แล้วตั้งแต่ที่จำเลยส่งมอบแก่โจทก์มิใช่ด้วยการโอนทะเบียนนั้น จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา คือโอนทะเบียนรถยนต์โดยสารพิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3566/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน: เช็คฉบับใหม่ไม่ทำให้หนี้เดิมระงับหากยังไม่ได้รับเงิน
จำเลยออกเช็คฉบับพิพาทชำระหนี้ค่าแชร์แก่โจทก์ แม้โจทก์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาท โดยมิได้ฟ้องตามมูลหนี้แชร์ แต่การที่จำเลยออกเช็คฉบับใหม่ชำระแทนเช็คพิพาท ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ โดยการ ชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 มิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 349 หนี้เดิมจะระงับต่อเมื่อได้ใช้เงินตามตั๋วเงินแล้ว เมื่อโจทก์ยังมิได้รับเงินตามเช็คฉบับใหม่ของจำเลยสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทยังไม่ระงับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3566/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน การออกเช็คฉบับใหม่ไม่ทำให้หนี้เดิมระงับจนกว่าจะใช้เงินได้
จำเลยออกเช็คฉบับพิพาทชำระหนี้ค่าแชร์แก่โจทก์ แม้โจทก์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาท โดยมิได้ฟ้องตามมูลหนี้แชร์ แต่การที่จำเลยออกเช็คฉบับใหม่ชำระแทนเช็คพิพาท ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ โดยการ ชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 มิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 หนี้เดิมจะระงับต่อเมื่อได้ใช้เงินตามตั๋วเงินแล้ว เมื่อโจทก์ยังมิได้รับเงินตามเช็คฉบับใหม่ของจำเลยสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทยังไม่ระงับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาทำสัญญาและการยกเลิกการประกวดข้อเสนอ
ตามประกาศระบุว่าผู้ชนะการประกวดข้อเสนอจะต้องมาทำ สัญญากับจำเลยภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากจำเลยแม้ผู้อำนวยการองค์การจำเลยจะได้ลงชื่อในหนังสือแจ้งให้โจทก์ ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ชนะการประกวดขอให้มาทำสัญญา แต่จำเลย ก็ยังมิได้ส่ง หนังสือไปให้โจทก์ทราบ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 130 ถือไม่ได้ว่า จำเลยได้แสดงเจตนายินยอมรับว่าโจทก์เป็น ผู้ชนะประกวดราคาและให้มาทำสัญญากับจำเลยได้ ( เจ้าหน้าที่ของจำเลยส่งร่างสัญญาไปให้โจทก์ตรวจสอบก็ส่งไปในฐานะส่วนตัว มิใช่จำเลยเป็นผู้ส่ง ทั้งหลังจากโจทก์เสนอโครงการต่อจำเลยแล้ว ยังยื่นข้อเสนอเพิ่มอีกหลายข้อ จำเลยมิได้มีหนังสือตอบการที่โจทก์ จำเลยเจรจากันก็มุ่งประสงค์ที่จะทำความตกลงกันโดยละเอียดก่อนแล้วจึงทำสัญญาเป็นหนังสือ เมื่อจำเลยยังไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ชนะการประกวดราคาและยังไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือต่อกัน ตามประกาศ กรณีต้องบังคับตาม มาตรา 366 วรรคสอง สัญญาระหว่าง โจทก์จำเลยยังไม่เกิดขึ้น จำเลยมีสิทธิยกเลิกการประกวดข้อเสนอได้ ไม่เป็นการผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์ )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3533/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยอ้างไม่ทราบวันนัด – ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานก่อนชี้ขาด
จำเลยที่ 3 ซึ่งขาดนัดพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่ามิได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เมื่อข้อเท็จจริงยังโต้แย้งกันอยู่ว่าจำเลยที่ 3 ได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณาจากทางไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยถือว่าจำเลยที่ 3 ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์ต่างๆ ในสำนวนแล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ใหม่ตั้งแต่เวลาที่ขาดนัดโดยมิได้ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อน ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ประกอบด้วยมาตรา 21. ศาลฎีกาจึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3 และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3533/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยอ้างว่าไม่ทราบวันนัด ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานก่อนตัดสิน
จำเลยที่ 3 ซึ่งขาดนัดพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่ามิได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เมื่อข้อเท็จจริงยังโต้แย้งกันอยู่ว่าจำเลยที่ 3 ได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณาจากทางไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยถือว่าจำเลยที่ 3 ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ในสำนวนแล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ใหม่ตั้งแต่เวลาที่ขาดนัดโดยมิได้ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อน ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ประกอบด้วยมาตรา 21 ศาลฎีกาจึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3และมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
of 216