พบผลลัพธ์ทั้งหมด 105 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เยาว์ ไม่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์หรืออนาจาร
หญิงอายุ 15 ปี หนีออกจากบ้านแล้วเรียกจำเลยอายุ 27 ปียังไม่มีภรรยามาพบ จำเลยพาหญิงไปตามที่ต่างๆ เพื่ออยู่กินเป็นสามีภริยา ไม่เป็นการพรากผู้เยาว์ และไม่เป็นการพาไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1665/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉุดกระชิง แต่มีการไกล่เกลี่ยและชดใช้ค่าเสียหาย ทำให้บรรเทาโทษได้
ฉุดหญิงไป บิดาจำเลยพาจำเลยและผู้เสียหายมาคืนแก่บิดาหญิงพร้อมกับเงินเป็นการขอขมาและอยู่กินด้วยกัน ไม่ทำให้การกระทำกลับไม่เป็นความผิด เป็นแต่เหตุให้บรรเทาโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน: เจตนาหลายฐาน, การกระทำครั้งเดียวอาจเป็นหลายกรรมได้
ในการพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียว หรือหลายกรรมต่างกันนั้นมิใช่พิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทำครั้งเดียว คราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป การกระทำครั้งเดียว คราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน หรือมีเจตนาอย่างเดียวกัน แต่ประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน การที่จำเลยพาเด็กหญิง ย. ไปเพื่อการอนาจารและพรากเด็กหญิง ย.ไปเสียจากบิดามารดา ซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกันหาใช่กรรมเดียวไม่ (อ้างฎีกาที่ 340/2512 และฎีกาที่ 1215/2518)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด 6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปีไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด 6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปีไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน: การพิจารณาเจตนาและผลของการกระทำความผิด
ในการพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียว หรือหลายกรรมต่างกันนั้นมิใช่พิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทำครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไปการกระทำครั้งเดียว คราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกันหรือมีเจตนาอย่างเดียวกันแต่ประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน การที่จำเลยพาเด็กหญิง ย. ไปเพื่อการอนาจารและพรากเด็กหญิง ย. ไปเสียจากบิดามารดา ซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกันหาใช่กรรมเดียวไม่ (อ้างฎีกาที่ 340/2512 และฎีกาที่1215/2518)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและการข่มขืนกระทำชำเราเป็นคนละกระทงกัน
จำเลยใช้กำลังฉุดลากพาผู้เสียหายเข้าไปในป่าห่างทางประมาณ 10 วาเศษแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่งแล้ว และเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอีกกระทงหนึ่งมิใช่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระชำเราแต่เพียงกระทงเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและการข่มขืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ
จำเลยใช้กำลังฉุดลากพาผู้เสียหายเข้าไปในป่าห่างทางประมาณ 10 วาเศษ แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่งแล้ว และเป็นความผิดฐานข่มชืนกระทำชำเราอีกกระทงหนึ่ง มิใช่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแต่เพียงกระทงเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยหลอกลวงเหยื่อด้วยของล่อ แล้วกระทำอนาจาร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำความผิดสองกรรม ต้องลงโทษตามกฎหมาย
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงหญิงผู้เสียหายว่าจะให้สีผึ้ง 1 ตลับ ผู้เสียหายหลงเชื่อตามไปเอาจากจำเลยที่สวนหลังบ้าน แล้วจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานหลอกลวงหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่ง และฐานกระทำอนาจารอีกกระทงหนึ่ง
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใด ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใด ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานหลอกลวงเพื่อกระทำอนาจารและการกระทำอนาจาร การลงโทษกระทงความผิด และการลดโทษจากคำรับสารภาพ
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงหญิงผู้เสียหายว่าจะให้สีผึ้ง 1 ตลับ ผู้เสียหายหลงเชื่อตามไปเอาจากจำเลยที่สวนหลังบ้านแล้วจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานหลอกลวงหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่ง และฐานกระทำอนาจารอีกกระทงหนึ่ง
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใดถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
สีผึ้งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดต้องริบ
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยานหลักฐานอย่างใดถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ควรลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีอาญาที่เกิดในภาวะกฎอัยการศึก และการพิจารณาคดีโดยศาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 309 เหตุเกิดในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 และความผิดตามมาตรา 284 นั้น อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ 1 ของประกาศดังกล่าวประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (6) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง แม้การกระทำผิดตามมาตรา 276 และ 309 นั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 9 มกราคม 2515 ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในคดีอาญาที่เกิดในช่วงประกาศใช้กฎอัยการศึก: การพิจารณาคดีความผิดหลายกระทง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,284,309 เหตุเกิดในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน2514 และความผิดตามมาตรา 284 นั้น อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ 1 ของประกาศดังกล่าวประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (6) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง แม้การกระทำผิดตามมาตรา 276 และ 309 นั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 9 มกราคม 2515 ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน