พบผลลัพธ์ทั้งหมด 105 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 51/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา, ฉุดคร่า, กักขัง: ความผิดหลายกระทงตามกฎหมายอาญา
จำเลยฉุดคร่าโจทก์ร่วมจากทางเดินพาเข้าไปในไร่อ้อยข้างทางห่างประมาณ 10 เส้นแล้วจึงข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 284 และ 310 กระทงหนึ่งกับเป็นความผิดตามมาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง ไม่ใช่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการฉุดคร่า ข่มขืน และพยายามฆ่าผู้ขัดขวาง ถือเป็นความผิดฐานร่วมกระทำ
จำเลยฉุดคร่าพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร โดยมีพวกของจำเลยคอยคุ้มกันขัดขวางไม่ให้ใครเข้าช่วยหญิงนั้น และพวกของจำเลยได้ใช้ปืนยิงพยายามฆ่าน้องสาวและบิดาของหญิงนั้นซึ่งเข้ามาขัดขวางถือว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เข้าขัดขวางนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉุดคร่า, พยายามฆ่า, และการร่วมกระทำความผิดโดยพวกของจำเลย
จำเลยฉุดคร่าพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร โดยมีพวกของจำเลยคอยคุ้มกันขัดขวางไม่ให้ใครเข้าช่วยหญิงนั้น และพวกของจำเลยได้ใช้ปืนยิงพยายามฆ่าน้องสาวและบิดาของหญิงนั้นซึ่งเข้ามาขัดขวางถือว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เข้าขัดขวางนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องคดีข่มขืน การปรับบทกฎหมาย และการลงโทษกรรมต่างๆ
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันฉุดคร่ากระทำอนาจาร ว.กับก.ผู้เสียหายแล้วจำเลยที่2กับพวกอีก3คนฉุด ก. ผู้เสียหายและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา แม้ตามทางพิจารณาจะปรากฏว่าพวกของจำเลยที่ 2 ที่ร่วมฉุด ก.ไปผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นคือ จำเลยที่ 1 นายสำลีกับชายอีกคนหนึ่ง ก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่ต่างกับฟ้องในสารสำคัญ และเมื่อจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้คดี ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่ต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย
จำเลยใช้มีดขู่บังคับผู้เสียหายและฉุดเข้าไปในป่าอ้อยลึก 2 เส้น แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องยกเอามาตรา 278 มาปรับบทด้วยอีก
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่ต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย
จำเลยใช้มีดขู่บังคับผู้เสียหายและฉุดเข้าไปในป่าอ้อยลึก 2 เส้น แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องยกเอามาตรา 278 มาปรับบทด้วยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา: การปรับบทลงโทษและการพิจารณาความผิดหลายกรรม
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันฉุดคร่ากระทำอนาจาร ว. กับ ก. ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 3 คนฉุด ก.ผู้เสียหายและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรา แม้ตามทางพิจารณาจะปรากฏว่าพวกของจำเลยที่ 2 ที่ร่วมฉุด ก.ไปผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นคือ จำเลยที่ 1 นายสำลีกับชายอีกคนหนึ่งก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่ต่างกับฟ้องในสารสำคัญ และเมื่อจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้คดี ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่ต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย
จำเลยใช้มีดขู่บังคับผู้เสียหายและฉุดเข้าไปในป่าอ้อยลึก 2 เส้น แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องยกเอามาตรา 278 มาปรับบทด้วยอีก
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงไม่ต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลยด้วย
จำเลยใช้มีดขู่บังคับผู้เสียหายและฉุดเข้าไปในป่าอ้อยลึก 2 เส้น แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องยกเอามาตรา 278 มาปรับบทด้วยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม ศาลลงโทษตาม ม.319 ได้
หญิงผู้เสียหายอายุ 16 ปี ยังอยู่ในความปกครองของบิดามารดา จำเลยมีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว ได้พาผู้เสียหายไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหาย และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายก็สมัครใจ ดังนี้ ก็ถือว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 318 ซึ่งมีโทษหนักกว่าโดยอ้างว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 318 ซึ่งมีโทษหนักกว่าโดยอ้างว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ามนุษย์และการบังคับข่มขืน ศาลฎีกาวินิจฉัยความถูกต้องของวันเกิดเหตุและพิพากษาลงโทษจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2512 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2513 ผู้เสียหายเบิกความว่า ในเดือนธันวาคม 2512 มีผู้มาชักชวนผู้เสียหายไปทำงานพาผู้เสียหายไปค้าง 2 คืน แล้วจำเลยก็มาชวนผู้เสียหายไปทำงานผู้เสียหายก็ไปกับจำเลยไปถึงบ้านจำเลยวันที่ 23 พฤษภาคม 2512 ต่อจากนั้นจำเลยก็บังคับให้ผู้เสียหายร่วมประเวณีกับชายอื่นผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยก็นำผู้เสียหายไปขายให้บุคคลอื่น ดังนี้ เห็นชัดว่าผู้เสียหายเบิกความผิดไป ความจริงผู้เสียหายมาถึงบ้านจำเลยวันที่ 23 ธันวาคม 2512ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเกิดเหตุที่ได้ความทางการพิจารณาจึงไม่แตกต่างกับฟ้อง
เมื่อการกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 และ 284. ย่อมถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
เมื่อการกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 และ 284. ย่อมถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลย
(ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยพรากพาหญิงไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลย ก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตามมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลย ก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตามมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เสียหายสมัครใจไป แต่เจตนาจำเลยไม่สุจริต
(ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยพรากพาหญิงไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลยก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตามมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจไปกับจำเลยก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตามมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1523/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค้าประเวณี, การบังคับข่มขืน, หน่วงเหนี่ยว, ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและ พรบ.ปรามการค้าประเวณี
เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจ้าของกิจการสถานค้าประเวณีรับตัวนางสมจิตรผู้เสียหายไว้ แล้วบังคับให้ค้าประเวณี ครั้นนางสมจิตรไม่ยินยอมก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ เมื่อขัดขืนต่อไปอีกก็ถูกจำเลยที่ 1 ตบหน้า และบางครั้งเมื่อนางสมจิตรถูกชายดึงเข้าไปในห้องแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ใส่กุญแจห้องข้างนอกและคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังตะโกนบอกชายที่มาเที่ยวว่าให้ตบตีได้ถ้านางสมจิตรไม่ยอม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 แล้ว แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 282 เพราะนางสมจิตรอายุเกิน 18 ปี และไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284 เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น มิใช่เพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นโสเภณีในสำนักของตน ก็ได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น ทั้งไม่จำเป็นต้องให้มีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน
สำหรับการที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอม และบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอก ขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่ ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นโสเภณีในสำนักของตน ก็ได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น ทั้งไม่จำเป็นต้องให้มีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน
สำหรับการที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอม และบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอก ขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่ ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว