คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 297 (4)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายจนหน้าเสียโฉม ถือเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)
จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายร่วมกับพวกกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง ตามเอกสารใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลฉีกขาดที่ใบหน้าและศีรษะ สำหรับบาดแผลที่ใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาดยาว 6 เซนติเมตร และขนาดยาว 5 เซนติเมตร บาดแผลที่ใบหน้าของผู้เสียหายที่ 2 ถูกขวดเบียร์แตกที่ก้นขวดแทง ต้องเย็บถึง 100 เข็ม หลังเกิดเหตุ 20 วัน ก็ยังสามารถมองเห็นบาดแผลดังกล่าวได้ชัดในระยะ 5 เมตร แม้จะทำศัลยกรรมตบแต่งบนใบหน้าก็ไม่สามารถทำให้หายเป็นเนื้อปกติได้ แต่จะจางลง และในวันที่ศาลชั้นต้นดูรอยแผลเป็นของผู้เสียหายที่ 2 เป็นวันที่ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ 8 เดือนเศษ ก็ยังปรากฏรอยแผลเป็นให้เห็นได้ชัดย่อมฟังได้ว่า แผลที่ใบหน้าด้านซ้ายของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297(4) แล้ว จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,295,297(4) และให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4) ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายจนหน้าเสียโฉม ถือเป็นอันตรายสาหัส จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายร่วมกับพวกกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง ตามเอกสารใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2มีบาดแผลฉีกขาดที่ใบหน้าและศีรษะ สำหรับบาดแผลที่ใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาดยาว 6 เซนติเมตร และขนาดยาว 5 เซนติเมตร บาดแผลที่ใบหน้าของผู้เสียหายที่ 2 ถูกขวดเบียร์แตกที่ก้นขวดแทง ต้องเย็บถึง 100 เข็ม หลังเกิดเหตุ 20 วันก็ยังสามารถมองเห็นบาดแผลดังกล่าวได้ชัดในระยะ 5 เมตร แม้จะทำศัลยกรรมตบแต่งบนใบหน้าก็ไม่สามารถทำให้หายเป็นเนื้อปกติได้ แต่จะจางลง และในวันที่ศาลชั้นต้นดูรอยแผลเป็นของผู้เสียหายที่ 2 เป็นวันที่ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ 8 เดือนเศษ ก็ยังปรากฏรอยแผลเป็นให้เห็นได้ชัดย่อมฟังได้ว่า แผลที่ใบหน้าด้านซ้ายของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297 (4) แล้ว จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295, 297 (4) และให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 297 (4) ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-79/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการประเมินบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2197/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกายทำให้เกิดแผลเป็นถาวร ไม่ถึงเจตนาฆ่า
จำเลยที่ 2 ใช้มีด (มีดพร้า) ฟันโจทก์ร่วมที่แก้มซ้ายเพียงครั้งเดียวจนบาดแผลที่หายกลายเป็นแผลเป็นที่เริ่มที่ใต้ใบหูท่อนล่างยาวพาดตามข้างแก้มซ้ายลงไปถึงคอยาวประมาณ 16 เซนติเมตร ลักษณะแผลเป็นสันนูนกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตร สูงประมาณครึ่งเซนติเมตร มองเห็นได้ในระยะ 5 เมตรฟังได้ว่าทำให้รูปหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว จากลักษณะบาดแผลดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้ฟันโจทก์ร่วมอย่างแรง จึงปรากฏปากแผลกว้างลึกถึงใต้ผิวหนังเท่านั้น กรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาฆ่า แต่เป็นการทำร้ายโจทก์ร่วมบาดเจ็บสาหัส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกายสาหัส: พิจารณาจากลักษณะบาดแผล, อาวุธ, และพฤติการณ์
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเกิดโทสะใช้มีดโต้ ใบมีดกว้างราว 3 นิ้วมือผู้ใหญ่ติดกันยาวราว 1 ฟุต ฟันผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อตา 2 ที ถูกที่ใบหน้า 1 แห่ง แผลเย็บแล้วยาว 14 เซนติเมตร ยาวจากโหนกแก้มอีกข้างหนึ่งพาดผ่านจมูกเต็มใบหน้าเห็นได้ชัด อันเป็นเหตุให้หน้าเสียโฉม อีกแผลหนึ่งที่กลางหลังยาว 9 เซนติเมตร สาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายดุด่าลูกจำเลย ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยต้องฟันมากครั้งกว่านี้และเลือกฟันที่อวัยวะสำคัญมากกว่านี้ได้ ทั้งลักษณะบาดแผลก็ไม่ปรากฏว่าอาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต จำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายสาหัสเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกายสาหัส vs. เจตนาฆ่า: พิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเกิดโทสะใช้มีดโต้ ใบมีดกว้างราว 3 นิ้วมือผู้ใหญ่ติดกันยาวราว 1 ฟุต. ฟันผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อตา 2 ที ถูกที่ใบหน้า 1 แห่งแผลเย็บแล้วยาว 14 เซนติเมตร ยาวจากโหนกแก้มอีกข้างหนึ่งพาดผ่านจมูกเต็มใบหน้าเห็นได้ชัด อันเป็นเหตุให้หน้าเสียโฉม. อีกแผลหนึ่งที่กลางหลังยาว 9 เซนติเมตร.สาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายดุด่าลูกจำเลย. ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า. เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยต้องฟันมากครั้งกว่านี้และเลือกฟันที่อวัยวะสำคัญมากกว่านี้ได้ ทั้งลักษณะบาดแผลก็ไม่ปรากฏว่าอาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต. จำเลยจึงมีผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายสาหัสเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกายสาหัส: การพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเกิดโทสะใช้มีดโต้ ใบมีดกว้างราว 3 นิ้วมือผู้ใหญ่ติดกันยาวราว 1 ฟุต ฟันผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อตา 2 ที ถูกที่ใบหน้า 1 แห่งแผลเย็บแล้วยาว 14 เซนติเมตร ยาวจากโหนกแก้มอีกข้างหนึ่งพาดผ่านจมูกเต็มใบหน้าเห็นได้ชัด อันเป็นเหตุให้หน้าเสียโฉม อีกแผลหนึ่งที่กลางหลังยาว 9 เซนติเมตรสาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายดุด่าลูกจำเลย ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยต้องฟันมากครั้งกว่านี้และเลือกฟันที่อวัยวะสำคัญมากกว่านี้ได้ ทั้งลักษณะบาดแผลก็ไม่ปรากฏว่าอาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต จำเลยจึงมีผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายสาหัสเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บาดแผลบนใบหน้าไม่ถึงขั้น 'หน้าเสียโฉม' ตามประมวลกฎหมายอาญา
ถูกตีด้วยท่อนเหล็ก มีแผลเป็นเป็นรอยขีดตั้งแต่ริมจมูกข้างซ้ายยาวพาดดั้งจมูกไปจนถึงหัวตาขวายาว 6 ซม.กว้าง 0.1 ซม. แห่งหนึ่ง กับอีกแห่งหนึ่งจากหัวตาขวาเฉียงลงมาใต้ตาขวา ยาว 3.5 ซม. มองเห็นแผลเป็นดังกล่าวได้ชัดในระยะ 2 เมตร ยังไม่เรียกว่าหน้าเสียโฉมติดตัวอันเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บาดแผลจากท่อนเหล็กไม่ถึงขั้นทำให้หน้าเสียโฉม ไม่เป็นอันตรายสาหัส
ถูกตีด้วยท่อนเหล็ก มีแผลเป็นรอยขีดตั้งแต่ริมจมูกข้างซ้าย ยาวพาดดั้งจมูกไปจนถึงหัวตาขวายาว 6 ซม. กว้าง 0.1 ซม. แห่งหนึ่งกับอีกแห่งหนึ่งจากหัวตาขวาเฉียงลงมาใต้ตาขวา ยาว 3.5 ซม. มองเห็นแผลเป็นดังกล่าวได้ชัดในระยะ 2 เมตร ยังไม่เรียกว่าหน้าเสียโฉมติดตัว อันเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)
of 2