พบผลลัพธ์ทั้งหมด 160 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์และการพิจารณาความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง: เจตนาคุมตัวเป็นประกันไม่ใช่ความผิดฐานกักขัง
ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้คุมตัวผู้เสียหายและบุคคลอื่นที่พบระหว่างทางให้ไปกับจำเลยด้วย พอมืดแล้วก็ปล่อยตัวกลับหมด เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยเจตนาเพียงคุมตัวผู้เสียหายกับพวกไปเป็นประกัน เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์ไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์นั่นเอง การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามมาตรา 309,310 อีกกรรมหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาคุมตัวผู้เสียหายเพื่อประกันตัวในการปล้นทรัพย์ ไม่ถือเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง
ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้คุมตัวผู้เสียหาย และบุคคลอื่นที่พบระหว่างทางให้ไปกับจำเลยด้วยพอมืดแล้วก็ปล่อยตัวกลับหมด เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยเจตนาเพียงคุมตัวผู้เสียหายกับพวกไปเป็นประกันเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์ไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้นอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์นั่นเอง การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา 309, 310, อีกกรรมหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีอาญาที่มีเงื่อนไข และผลของการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข สิทธิฟ้องคดีระงับ
ในคดีความผิดอันยอมความได้ปรากฏจากคำให้การชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยอ้างเป็นพยานว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำโจทก์ไปพบจำเลยและต่างได้พูดจากันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน ในชั้นพิจารณาโจทก์แถลงต่อศาลว่า. ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะต้องไม่คุกคามพระในวัดต่อไปแต่หลังจากนั้นได้มีการรุกรานอีกเป็นการผิดข้อตกลงดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ตั้งแต่วันที่ยอมความกัน
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีอาญาที่มีเงื่อนไข เมื่อจำเลยผิดเงื่อนไข โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ระงับไปแล้ว
ในคดีความผิดอันยอมความได้ ปรากฏจากคำให้การชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยอ้างเป็นพยานว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำโจทก์ไปพบจำเลยและต่างได้พูดจากกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน ในชั้นพิจารณาโจทก์แถลงต่อศาลว่า ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะต้องไม่คุกคามพระในวัดต่อไป แต่หลังจากนั้นได้มีการรุกรานอีกเป็นการผิดข้อตกลง ดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ตั้งแต่วันที่ยอมความกัน
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่ แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่ แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บจากการกีดขวางการออกจากพื้นที่
ล่ามโซ่ใส่กุญแจประตูใหญ่ ทำให้โจทก์ออกจากบริเวณบ้านไม่ได้ โจทก์ต้องปีนกำแพงรั้วกระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บ เป็นความผิดตาม ประมวกฎหมายอาญา มาตรา 310วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343-2344/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อป้องกันการหลบหนีและการใช้กำลังเท่าที่จำเป็นทางกฎหมาย
โจทก์ร่วมถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกขว้างปารถยนต์โดยสารเสียหาย และถูกผู้โดยสารบาดเจ็บ ผู้ใหญ่บ้านจับกุมโจทก์ร่วมได้แล้วมอบตัวให้จำเลยซึ่งเป็นกำนันทั้งที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 1 นาฬิกา การนำตัวโจทก์ร่วมไปส่งสถานีตำรวจในคืนนั้นไม่เป็นการปลอดภัย และบ้านของจำเลยไม่มีห้องขังหรือที่ควบคุมผู้ต้องหา จำเลยจึงนำโจทก์ร่วมไปใช้โซ่ล่ามขาไว้กับเสาชานเรือนจำเลย พอรุ่งเช้าก็ปล่อยตัวไปเมื่อมีผู้มาขอรับตัว ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นวิธีการควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี เป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 86 ไม่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343-2344/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อป้องกันการหลบหนีเป็นไปตามอำนาจตามกฎหมาย
โจทก์ร่วมถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกขว้างปารถยนต์โดยสารเสียหาย และถูกผู้โดยสารบาดเจ็บ ผู้ใหญ่บ้านจับกุมโจทก์ร่วมได้แล้วมอบตัวให้จำเลยซึ่งเป็นกำนันท้องที่ที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 1 นาฬิกา การนำตัวโจทก์ร่วมไปส่งสถานีตำรวจในคืนนั้นไม่เป็นการปลอดภัย และบ้านของจำเลยไม่มีห้องขังหรือที่ควบคุมผู้ต้องหา จำเลยจึงนำโจทก์ร่วมไปใช้โซ่ล่ามขาไว้กับเสาชานเรือนจำเลย พอรุ่งเช้าก็ปล่อยตัวไปเมื่อมีผู้มาขอรับตัว ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นวิธีการควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี เป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 86 ไม่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจอดรถขวางทางเป็นการรังแกข่มเหงในที่สาธารณสถาน
จำเลยจอดรถขวางกั้นไม่ให้โจทก์ถอยรถออกไปจากซอยที่เกิดเหตุ เป็นเพียงขัดขวางไม่ให้โจทก์นำรถออกไปได้เท่านั้น ส่วนตัวโจทก์มีอิสระที่จะออกไปจากซอยได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แต่เป็นการรังแกข่มเหงทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ แม้ซอยนั้นจะอยู่ในที่ดินของผู้มีชื่อซึ่งแบ่งให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้าน แต่ประชาชนก็ชอบที่จะเข้าออกไปติดต่อกับผู้ที่อยู่ในซอยนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจอดรถขวางทาง ถือเป็นการรังแกข่มเหงในที่สาธารณะ แม้ไม่ถึงขั้นหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง
จำเลยจอดรถขวางกั้นไม่ให้โจทก์ถอยรถออกไปจากซอยที่เกิดเหตุ เป็นเพียงขัดขวางไม่ให้โจทก์นำรถออกไปได้เท่านั้น ส่วนตัวโจทก์มีอิสระที่จะออกไปจากซอยได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แต่เป็นการรังแกข่มเหงทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ แม้ซอยนั้นจะอยู่ในที่ดินของผู้มีชื่อซึ่งแบ่งให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้าน แต่ประชาชนก็ชอบที่จะเข้าออกไปติดต่อกับผู้ที่อยู่ในซอยนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบคุมและกักขังคนงานในไร่เกษตรกรรม ถือเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังและทำร้ายร่างกาย
การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงจ้างพวกผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวอีสานให้เป็นคนงานทำหน้าที่ปลูกมันสำปะหลังและอ้อย ตัดอ้อย และดายหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วพวกจำเลยควบคุมบังคับพวกผู้เสียหายตลอดเวลามิให้ไปไหนมาไหนโดยอิสระ กักขังให้หลับนอนในเรือนพักภายในไร่ มีกลอนและโซ่คล้องใส่กุญแจไว้ภายนอกห้องหากต้องการออกไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ต้องขออนุญาต และมียามคอยเฝ้าคุมอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำงานล่าช้าก็จะถูกตีเตะทำร้าย ทั้งถูกขู่เข็ญมิให้หลบหนี มิฉะนั้นจะถูกยิงดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 และสำหรับจำเลยที่ทำร้ายร่างกายพวกผู้เสียหายย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย