พบผลลัพธ์ทั้งหมด 395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากความเสียหายต่อข้าวสารจากเหตุคลื่นลมแรง จำเลยต้องรับผิดหากมีวิธีป้องกันแต่ไม่ดำเนินการ
จำเลยใช้เชือกไนล่อนเส้นเดียวผูกเรือลำเลียงของจำเลยติดกับเรือเดินทะเลเพื่อขนถ่ายข้าวสารขึ้นเรือเดินทะเล ขณะที่กำลังขนถ่ายข้าวสารอยู่นั้นเกิดพายุอย่างแรง เชือกผูกหัวเรือลำเลียงขาด คลื่นตีหัวเรือลำเลียงออกไป ท้ายเรือและหางเสือไปกระแทกกับเรือเดินทะเลเป็นเหตุให้กระบอกหางเสือแตก น้ำเข้าเรือลำเลียงทางกระบอกหางเสือข้าวสารในเรือเปียกน้ำเสียหาย ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูหนาวซึ่งมักมีคลื่นลมแรงตลอดวัน และการป้องกันไม่ให้เชือกขาดอาจทำได้โดยการผูกเรือด้วยเชือกหลาย ๆ เส้น ดังนี้เหตุที่เกิดขึ้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในสัญญาขนส่งสินค้าทางน้ำ: เหตุสุดวิสัยและการป้องกันความเสี่ยง
จำเลยใช้เชือกไนล่อนเส้นเดียวผูกเรือลำเลียงของจำเลยติดกับเรือเดินทะเลเพื่อขนถ่ายข้าวสารขึ้นเรือเดินทะเล ขณะที่กำลังขนถ่ายข้าวสารอยู่นั้นเกิดพายุอย่างแรง เชือกผูกหัวเรือลำเลียงขาด คลื่นตีหัวเรือลำเลียงออกไป ท้ายเรือและหางเสือไปกระแทกกับเรือเดินทะเลเป็นเหตุให้กระบอกหางเสือแตก น้ำเข้าเรือลำเลียงทางกระบอกหางเสือข้าวสารในเรือเปียกน้ำเสียหาย ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูหนาวซึ่งมักมีคลื่นลมแรงตลอดวัน และการป้องกันไม่ให้เชือกขาดอาจทำได้โดยการผูกเรือด้วยเชือกหลาย ๆ เส้น ดังนี้เหตุที่เกิดขึ้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะมีทางที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ที่ดินเป็นทางสาธารณะต้องรอให้เกิดข้อโต้แย้งสิทธิก่อน หากยังไม่ได้ถูกปิดกั้นสิทธิ โจทก์ฟ้องไม่ได้
ที่ดินของโจทก์และจำเลยอยู่ติดต่อกัน จำเลยตกลงยอมให้โจทก์ทำถนนในในที่ดินของจำเลย เพื่อโจทก์และผู้อื่นที่อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกได้ ดังนี้เมื่อจำเลยยังไม่ได้ปิดกั้นถนนดังกล่าวโจทก์ก็ฟ้องจำเลยไม่ได้ เพราะยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้น
การที่ถนนซึ่งโจทก์ทำขึ้นจะเป็นทางสาธารณะหรือไม่ย่อมเป็นไปตามสภาพของการใช้ ไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่ง
การที่ถนนซึ่งโจทก์ทำขึ้นจะเป็นทางสาธารณะหรือไม่ย่อมเป็นไปตามสภาพของการใช้ ไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางในที่ดินของผู้อื่น การฟ้องขอให้แบ่งแยกทางสาธารณะต้องรอให้เกิดข้อโต้แย้งสิทธิก่อน
ที่ดินของโจทก์และจำเลยอยู่ติดต่อกัน จำเลยตกลงยอมให้โจทก์ทำถนนในในที่ดินของจำเลย เพื่อโจทก์และผู้อื่นที่อาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกได้ ดังนี้เมื่อจำเลยยังไม่ได้ปิดกั้นถนนดังกล่าว โจทก์ก็ฟ้องจำเลยไม่ได้ เพราะยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกิดขึ้น
การที่ถนนซึ่งโจทก์ทำขึ้นจะเป็นทางสาธารณะหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามสภาพของการใช้ ไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่ง
การที่ถนนซึ่งโจทก์ทำขึ้นจะเป็นทางสาธารณะหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามสภาพของการใช้ ไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อเท็จจริงที่นำไปสู่สัญญาค้ำประกันและจำนอง แม้ไม่ได้กล่าวในฟ้องก็ทำได้ หากเกี่ยวข้องกับเหตุชักนำ
โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนองประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลย การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์จำเลยและบุคคลอื่นเข้าหุ้นส่วนกันรับเหมาก่อสร้างโรงเรียน อันเป็นการนำสืบถึงความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลอันเป็นเหตุชักนำให้โจทก์เข้าทำสัญญาค้ำประกันและจำนอง โจทก์ย่อมนำสืบได้โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวไว้ในฟ้อง และการนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ประเด็นดังกล่าวนี้ หาจำต้องนำสืบถึงรายละเอียดและแสดงพยานหลักฐานการลงหุ้น การประมูลการก่อสร้างหรือรายละเอียดอย่างอื่นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับการค้ำประกันและจำนอง: ศาลอนุญาตได้หากเชื่อมโยงกับเหตุแห่งการทำสัญญา
โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน และผู้จำนองประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลย การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์จำเลยและบุคคลอื่นเข้าหุ้นส่วนกันรับเหมาก่อสร้างโรงเรียน อันเป็นการนำสืบถึงความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลอันเป็นเหตุชักนำให้โจทก์เข้าทำสัญญาค้ำประกันและจำนอง โจทก์ย่อมนำสืบได้โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวไว้ในฟ้อง และการนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ประเด็นดังกล่าวนี้ หาจำต้องนำสืบถึงรายละเอียดและแสดงพยานหลักฐานการลงหุ้น การประมูลการก่อสร้างหรือรายละเอียดอย่างอื่นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตแล้ว ย่อมมีผลผูกพันตามกฎหมาย
โดยสายโลหิตแล้วโจทก์เป็นบิดาที่แท้จริงของ จ. และโจทก์ยังได้จดทะเบียนรับรองว่า จ. เป็นบุตรของตนอีกขั้นหนึ่งด้วยโจทก์จึงเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จ.นับตั้งแต่วันจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 และเป็นผู้ปกครองของ จ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกบุตรของตนคืนจากน้าของบุตรคือจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ยอมคืนบุตรให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1567 (4)
ขณะโจทก์จดทะเบียน จ. เป็นบุตรนั้น มารดาของ จ.ถึงแก่กรรมไปแล้วและขณะนั้น จ. มีอายุเพียง 1 ปีเศษ มารดา จ. และ จ.จึงไม่อาจคัดค้านหรือให้ความยินยอมในการขอจดทะเบียนได้ การจดทะเบียนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1548
ขณะโจทก์จดทะเบียน จ. เป็นบุตรนั้น มารดาของ จ.ถึงแก่กรรมไปแล้วและขณะนั้น จ. มีอายุเพียง 1 ปีเศษ มารดา จ. และ จ.จึงไม่อาจคัดค้านหรือให้ความยินยอมในการขอจดทะเบียนได้ การจดทะเบียนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1548
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่มีความยินยอมจากมารดา หากมารดาถึงแก่กรรมแล้ว
โดยสายโลหิตแล้วโจทก์เป็นบิดาที่แท้จริงของ จ. และโจทก์ยังได้จดทะเบียนรับรองว่า จ. เป็นบุตรของตนอีกขั้นหนึ่งด้วย โจทก์จึงเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จ.นับตั้งแต่วันจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1557 และเป็นผู้ปกครองของ จ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกบุตรของตนคืนจากน้าของบุตรคือจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ยอมคืนบุตรให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1567(4)
ขณะโจทก์จดทะเบียน จ. เป็นบุตรนั้น มารดาของ จ.ถึงแก่กรรมไปแล้วและขณะนั้น จ. มีอายุเพียง 1 ปีเศษมารดา จ. และ จ. จึงไม่อาจคัดค้านหรือให้ความยินยอมในการขอจดทะเบียนได้ การจดทะเบียนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548
ขณะโจทก์จดทะเบียน จ. เป็นบุตรนั้น มารดาของ จ.ถึงแก่กรรมไปแล้วและขณะนั้น จ. มีอายุเพียง 1 ปีเศษมารดา จ. และ จ. จึงไม่อาจคัดค้านหรือให้ความยินยอมในการขอจดทะเบียนได้ การจดทะเบียนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเครื่องหมายการค้า: จำเลยปฏิเสธอายุความ โจทก์มีหน้าที่นำสืบวันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2504 จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้นำคดีมาสู่ศาลภายใน 90 วัน นับแต่รับคำวินิจฉัยของนายทะเบียน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดังนี้จะถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามวันที่ระบุในฟ้องหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่มีโอกาสที่จะทราบว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยตั้งแต่เมื่อใดจำเลยจึงไม่อาจให้การปฏิเสธได้โดยชัดแจ้งถึงวันที่โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยนั้น คำให้การดังกล่าวเป็นการปฏิเสธว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยชัดแจ้งแล้วโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้เมื่อโจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์นำคดีมาสู่ศาลภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียน สิทธินำคดีมาสู่ศาลจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเครื่องหมายการค้า: โจทก์มีหน้าที่นำสืบวันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยเพื่อยืนยันการฟ้องภายใน 90 วัน
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2504 จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้นำคดีมาสู่ศาลภายใน 90 วัน นับแต่รับคำวินิจฉัยของนายทะเบียน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดังนี้จะถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามวันที่ระบุในฟ้องหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่มีโอกาสที่จะทราบว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยตั้งแต่เมื่อใดจำเลยจึงไม่อาจให้การปฏิเสธได้โดยชัดแจ้งถึงวันที่โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยนั้น คำให้การดังกล่าวเป็นการปฏิเสธว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยชัดแจ้งแล้วโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้เมื่อโจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์นำคดีมาสู่ศาลภายในกำหนด90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียน สิทธินำคดีมาสู่ศาลจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว