พบผลลัพธ์ทั้งหมด 395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไฟฟ้านครหลวงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าไฟฟ้า หากผู้เช่าไม่ชำระ และการบอกเลิกสัญญาต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อบังคับของการไฟฟ้านครหลวงจำเลยที่ 1 ระบุความรับผิดชอบของผู้ใช้ไฟฟ้าไว้ว่าจะต้องรับผิดชอบชำระค่าไฟฟ้าจนกว่าจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเลิกหรือโอนการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยที่ 1 ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน ดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าขอให้จำเลยที่ 1 งดจ่ายกระแสไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับตึกแถวของโจทก์ที่ให้บุคคลอื่นเช่าจึงไม่เป็นการบอกเลิกการใช้ไฟฟ้าตามข้อบังคับดังกล่าว หามีผลให้จำเลยที่ 1 จำต้องปฏิบัติตามแต่ประการใดไม่ โจทก์ต้องรับผิดชอบชำระค่ากระแสไฟฟ้าที่ได้ใช้ไปในตึกแถวดังกล่าวการกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
ฎีกาโจทก์มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าเอกสารหมาย ล. 2 ส่งเข้ามาในสำนวนโดยผิดกฎหมายอย่างไร เพียงแต่โจทก์กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ มิได้อ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้เถียงในประเด็นข้อพิพาทไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาโจทก์มิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าเอกสารหมาย ล. 2 ส่งเข้ามาในสำนวนโดยผิดกฎหมายอย่างไร เพียงแต่โจทก์กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ มิได้อ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้เถียงในประเด็นข้อพิพาทไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการใช้กำลังพอสมควรแก่เหตุเมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธ
ผู้ตายพกอาวุธปืนมาที่บ้านพักของจำเลย ถามจำเลยว่าเมื่อวานผ่านหน้าบ้านบีบแตรรถทำไม และบอกให้จำเลยออกไปนอกบ้านเป็นทำนองท้าทายชวนวิวาท ทั้งยิงจำเลยได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงคว้ามีดปอกผลไม้ตรงเข้าไปกอดปล้ำแย่งปืนและแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ หากจำเลยไม่เข้าแย่งปืนและแทงผู้ตาย อาจจะถูกผู้ตายยิงซ้ำอีกได้เพราะภยันตรายของจำเลยยังคงมีอยู่ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบธรรม: การแย่งอาวุธและการตอบโต้การคุกคามด้วยอาวุธ
ผู้ตายพกอาวุธปืนมาที่บ้านพักของจำเลยถามจำเลยว่าเมื่อวานผ่านหน้าบ้านบีบแตรรถทำไมและบอกให้จำเลยออกไปนอกบ้านเป็นทำนองท้าทายชวนวิวาททั้งยิงจำเลยได้รับบาดเจ็บจำเลยจึงคว้ามีดปอกผลไม้ตรงเข้าไปกอดปล้ำแย่งปืนและแทงผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้หากจำเลยไม่เข้าแย่งปืนและแทงผู้ตายอาจจะถูกผู้ตายยิงซ้ำอีกได้เพราะภยันตรายของจำเลยยังคงมีอยู่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เครื่องหมายการค้าโดยสุจริตตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการละเมิดจากการใส่ร้ายทำให้เสียชื่อเสียง
ยาเม็ดแก้ปวดท้องที่ใช้เครื่องหมายการค้าตราตกเบ็ด โดยมีรูปคนนั่งตกเบ็ดอยู่ภายในรูปอาร์ม ซึ่งโจทก์ถือสิทธิอยู่โดยการรับโอนมาจาก บ. นั้น โจทก์ได้ยินยอมและทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้มารดาของจำเลยมีสิทธิใช้ได้โดยให้ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าขึ้นใหม่ต่างหาก โดยจะต้องระบุชื่อมารดาของจำเลยให้เห็นชัดเจนในเครื่องหมายการค้าใหม่ นั้น และกล่องที่ใช้บรรจุยาจะต้องให้มีสีต่างกันกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วย มารดาของจำเลยจึงมีสิทธิใช้และขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้โดยชอบด้วยพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช2474 ทั้งยังมีสิทธิจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เครื่องหมายการค้านี้ให้แก่จำเลยทั้งสองด้วย จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้านี้ได้โดยชอบ
การที่จำเลยเพิ่มข้อความบนกล่องบรรจุยา ฉลากยา และสิ่งพิมพ์ที่ใช้โฆษณาสินค้ายาที่จำเลยผลิตจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของจำเลยว่า 'ขนานแท้' ก็ดี 'ห้างเก่า'ก็ดี และ 'ระวังยาเลียนแบบ' ก็ดี เป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรมหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ส่วนการที่โจทก์ได้ส่งตัวแทนไปบอกร้านขายยาทั่วไปรวมทั้งลูกค้าของจำเลยว่ายาของจำเลยเป็นของปลอมขายไม่ได้หากขายจะถูกจับฐานขายยาปลอม และถ้าจำเลยต้องแพ้คดีก็ไม่มีสิทธิขายยาที่ผลิตออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทำให้ลูกค้าไม่ยอมซื้อยาของจำเลยเพิ่มเติมและที่ซื้อไว้แล้วก็ไม่ยอมชำระราคา หรือรอให้คดีเสร็จเสียก่อนจึงจะชำระราคานั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 เป็นการละเมิดต่อจำเลย
การที่จำเลยเพิ่มข้อความบนกล่องบรรจุยา ฉลากยา และสิ่งพิมพ์ที่ใช้โฆษณาสินค้ายาที่จำเลยผลิตจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของจำเลยว่า 'ขนานแท้' ก็ดี 'ห้างเก่า'ก็ดี และ 'ระวังยาเลียนแบบ' ก็ดี เป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรมหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ส่วนการที่โจทก์ได้ส่งตัวแทนไปบอกร้านขายยาทั่วไปรวมทั้งลูกค้าของจำเลยว่ายาของจำเลยเป็นของปลอมขายไม่ได้หากขายจะถูกจับฐานขายยาปลอม และถ้าจำเลยต้องแพ้คดีก็ไม่มีสิทธิขายยาที่ผลิตออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของจำเลยทำให้ลูกค้าไม่ยอมซื้อยาของจำเลยเพิ่มเติมและที่ซื้อไว้แล้วก็ไม่ยอมชำระราคา หรือรอให้คดีเสร็จเสียก่อนจึงจะชำระราคานั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 เป็นการละเมิดต่อจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายอสังหาริมทรัพย์หลังประนีประนอมยอมความ ถือเป็นการค้าเพื่อหากำไร ต้องเสียภาษีการค้า
บริษัท ก. ซึ่งดำเนินกิจการจัดสรรที่ดินและบ้านขาย เป็นหนี้ธนาคารโจทก์จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยบริษัท ก. ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 374 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จัดสรรขายนั้นให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ และในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้มีข้อตกลงว่า เมื่อผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายใดได้ชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ตกลงซื้อให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อนั้น อาคารใดที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยโจทก์รับจะดำเนินการก่อสร้างให้เรียบร้อย เมื่อโจทก์จำหน่ายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปหมดแล้ว ถ้าได้เงินเกินกว่าจำนวนที่บริษัท ก. เป็นหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยเท่าใด โจทก์ยอมแบ่งเงินส่วนที่เกินนั้นแก่บริษัท ก. ครึ่งหนึ่งต่อมาเมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท ก. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ได้ดำเนินการจัดการก่อสร้าง ปรับปรุง เพิ่มเติมอาคารจนแล้วเสร็จแล้วขายไป พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเข้าลักษณะเป็นรายรับตามประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร โจทก์ต้องนำรายรับนี้มาเสียภาษีการค้า
การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่กิจการที่ผิดกฎหมาย เพียงแต่มีกฎหมายห้ามบุคคลบางประเภทไม่ให้กระทำเท่านั้นฉะนั้น การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ก็ตามก็หาทำให้โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรไม่
การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่กิจการที่ผิดกฎหมาย เพียงแต่มีกฎหมายห้ามบุคคลบางประเภทไม่ให้กระทำเท่านั้นฉะนั้น การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ก็ตามก็หาทำให้โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายอสังหาริมทรัพย์หลังประนีประนอมยอมความ ถือเป็นการค้าเพื่อหากำไร ต้องเสียภาษี
บริษัท ก. ซึ่งดำเนินกิจการจัดสรรที่ดินและบ้านขาย เป็นหนี้ธนาคารโจทก์จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยบริษัท ก. ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 374 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จัดสรรขายนั้นให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ และในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้มีข้อตกลง ว่า เมื่อผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายใดได้ชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ตกลงซื้อให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อนั้นอาคารใดที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยโจทก์รับจะดำเนินการก่อสร้างให้เรียบร้อย เมื่อโจทก์จำหน่ายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปหมดแล้ว ถ้าได้เงินเกินกว่าจำนวนที่บริษัท ก. เป็นหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยเท่าใด โจทก์ยอมแบ่งเงินส่วนที่เกินนั้นแก่บริษัท ก. ครึ่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท ก. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ได้ดำเนินการจัดการก่อสร้าง ปรับปรุง เพิ่มเติมอาคารจนแล้วเสร็จแล้วขายไป พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเข้าลักษณะเป็นรายรับตามประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร โจทก์ต้องนำรายรับนี้มาเสียภาษีการค้า
การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่กิจการที่ผิดกฎหมายเพียงแต่มีกฎหมายห้ามบุคคลบางประเภทไม่ให้กระทำเท่านั้นฉะนั้น การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ก็ตามก็หาทำให้โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรไม่
การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่กิจการที่ผิดกฎหมายเพียงแต่มีกฎหมายห้ามบุคคลบางประเภทไม่ให้กระทำเท่านั้นฉะนั้น การประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ก็ตามก็หาทำให้โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 792/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งที่ดินโดยพินัยกรรมและการครอบครองปรปักษ์ สิทธิในที่ดินเมื่อพินัยกรรมไม่ชัดเจน
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ข้อ 1 ความว่า "ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่แล้วที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ" ต่อจากนั้นได้ระบุที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน57 ตารางวา ข้อ 2 ความว่า 'ข้าพเจ้าขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้แก่คณะกรรมการอำเภอและขอตั้งให้ น. (โจทก์) เป็นผู้จัดการมรดกข้าพเจ้าตามพินัยกรรมนี้ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการ"ข้อ 3 ความว่า "ข้อความแห่งพินัยกรรมนี้ กรมการอำเภอได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟังโดยตลอดแล้วเป็นการถูกต้องตรงตามความประสงค์ของข้าพเจ้าที่ได้แจ้งให้กรมการอำเภอจดลงไว้ และขณะทำพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้ามีสติสมบูรณ์ จึงลงชื่อไว้ต่อหน้ากรมการอำเภอและพยานเป็นสำคัญ" ถัดลงมาเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมและพยาน 2 คนกับบันทึกของกรมการอำเภอ ดังนี้ พินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก เพราะไม่มีข้อความว่าผู้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ แม้ตามคำร้องของผู้ทำพินัยกรรมที่ยื่นต่อนายอำเภอจะมีข้อความว่า ผู้ร้อง (ผู้ทำพินัยกรรม) ประสงค์จะทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์ให้โจทก์ก็ตาม คำร้องฉบับนี้มิใช่พินัยกรรมจึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยพินัยกรรม
อย่างไรก็ดีเป็นที่เข้าใจว่า จ. ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อตนถึงแก่กรรมจึงปรากฏว่าเมื่อจ.ตาย จำเลยก็เลิกทำนาพิพาท ฝ่ายโจทก์คงทำนาพิพาทต่อมาหนึ่งปีแล้วให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จึงเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนับตั้งแต่ จ.ตายตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง
อย่างไรก็ดีเป็นที่เข้าใจว่า จ. ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อตนถึงแก่กรรมจึงปรากฏว่าเมื่อจ.ตาย จำเลยก็เลิกทำนาพิพาท ฝ่ายโจทก์คงทำนาพิพาทต่อมาหนึ่งปีแล้วให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จึงเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนับตั้งแต่ จ.ตายตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 792/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งที่ดินโดยพินัยกรรมและการครอบครองปรปักษ์: สิทธิในที่ดินเมื่อพินัยกรรมไม่ชัดเจน
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ข้อ 1 ความว่า "ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้ว" บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่แล้ว ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ" ต่อจากนั้นได้ระบุที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 57 ตารางวา ข้อ 2 ความว่า 'ข้าพเจ้าขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้แก่คณะกรรมการอำเภอและขอตั้งให้ น. (โจทก์) เป็นผู้จัดการมรดกข้าพเจ้าตามพินัยกรรมนี้ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการ" ข้อ 3 ความว่า "ข้อความแห่งพินัยกรรมนี้ กรมการอำเภอได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟังโดยตลอดแล้วเป็นการถูกต้องตรงตามความประสงค์ของข้าพเจ้าที่ได้แจ้งให้กรมการอำเภอจดลงไว้ และขณะทำพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้ามีสติสมบูรณ์ จึงลงชื่อไว้ต่อหน้ากรมการอำเภอและพยานเป็นสำคัญถัดลงมาเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมและพยาน 2 คนกับบันทึกของกรมการอำเภอ ดังนี้ พินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก เพราะไม่มีข้อความว่าผู้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ แม้ตามคำร้องของผู้ทำพินัยกรรมที่ยื่นต่อนายอำเภอจะมีข้อความว่า ผู้ร้อง (ผู้ทำพินัยกรรม) ประสงค์จะทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์ให้โจทก์ก็ตาม คำร้องฉบับนี้มิใช่พินัยกรรม จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยพินัยกรรม อย่างไรก็ดีเป็นที่เข้าใจว่า จ. ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อตนถึงแก่กรรม จึงปรากฏว่าเมื่อจ.ตาย จำเลยก็เลิกทำนาพิพาท ฝ่ายโจทก์คงทำนาพิพาทต่อมาหนึ่งปีแล้วให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์จึงเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนับตั้งแต่ จ.ตายตลอดมาโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นนอกฟ้อง: ศาลมิอาจวินิจฉัยประเด็นความประมาทเลินเล่อของผู้เลี้ยงดู หากมิได้ยกขึ้นเป็นประเด็นในคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า พ. บุตรโจทก์ถูกจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะบิดามารดาผู้ปกครองจำเลยที่ 3 และในฐานะที่เป็นผู้รับจ้างเลี้ยงดู พ. ไม่ระมัดระวังตามหน้าที่และวิชาชีพปล่อยปละละเลยให้ พ. ถูกทำร้าย ดังนี้ ข้อสำคัญอันเป็นมูลให้โจทก์ฟ้องก็คือจำเลยที่ 3 ทำร้าย พ. เท่านั้นหาได้เลยไปถึงกรณี พ.หกล้มเองไม่ประเด็นที่ว่าพ. หกล้มจนขาหักเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะผู้รับจ้างเลี้ยงดูประมาทเลินเล่อหรือไม่จึงไม่มี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พ. หกล้มเอง มิใช่ถูกจำเลยที่ 3 ทำร้าย แต่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษา พ. ตามควรแก่หน้าที่ จึง เป็นการพิพากษาในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้อง: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า พ. บุตรโจทก์ถูกจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3รับผิดต่อโจทก์ในฐานะบิดามารดาผู้ปกครองจำเลยที่ 3 และในฐานะที่เป็นผู้รับจ้างเลี้ยงดู พ. ไม่ระมัดระวังตามหน้าที่และวิชาชีพปล่อยปละละเลยให้ พ. ถูกทำร้าย ดังนี้ ข้อสำคัญอันเป็นมูลให้โจทก์ฟ้องก็คือจำเลยที่ 3 ทำร้าย พ. เท่านั้น หาได้เลยไปถึงกรณี พ. หกล้มเองไม่ ประเด็นที่ว่าพ. หกล้มจนขาหักเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะผู้รับจ้างเลี้ยงดูประมาทเลินเล่อหรือไม่จึงไม่มี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พ. หกล้มเอง มิใช่ถูกจำเลยที่ 3ทำร้าย แต่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษา พ.ตามควรแก่หน้าที่ จึง เป็นการพิพากษาในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง