คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัมพล สุวรรณภักดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 395 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบสินค้า การคำนวณค่าปรับจากสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ และขอบเขตการส่งมอบที่ถูกต้องตามสัญญา
สัญญาซื้อขายมีความว่า ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อ ณ กรมขนส่งทหารอากาศ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา และสิ่งของที่ซื้อนั้นผู้ขายสั่งเข้ามาจากต่างประเทศในราคาที่ไม่รวมภาษีขาเข้าและภาษีอื่น ๆ ทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตามเกี่ยวกับการขอยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้าว่า เมื่อศุลกากรปล่อยของแล้วให้ผู้ขายนำเก็บในคลังของผู้ซื้อทันที ห้ามนำเข้าไปเก็บในที่เก็บของผู้ขาย และการเปิดหีบห่อจะทำได้ต่อเมื่อผู้ซื้อยินยอมเท่านั้น เห็นได้ว่าเมื่อสิ่งของนั้นถูกส่งจากต่างประเทศมาถึงประเทศไทย ผู้ขายไม่มีโอกาสตรวจสอบความสมบูรณ์เรียบร้อยของสิ่งของก่อนส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อเลย ดังนี้ เมื่อผู้ขายนำสิ่งของไปส่งที่กรมขนส่งทหารอากาศย่อมถือได้ว่าผู้ขายส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้ผู้ซื้อแล้ว โดยหาจำต้องให้กรรมการตรวจรับของยอมรับไว้ใช้ในราชการเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการส่งมอบตามสัญญาไม่
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ "หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบสินค้าและการคำนวณค่าปรับสัญญาซื้อขาย: การส่งมอบสินค้าที่กรมขนส่งทหารอากาศถือเป็นการส่งมอบตามสัญญา
สัญญาซื้อขายมีความว่า ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อ ณ กรมขนส่งทหารอากาศ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา และสิ่งของที่ซื้อนั้นผู้ขายสั่งเข้ามาจากต่างประเทศในราคาที่ไม่รวมภาษีขาเข้าและภาษีอื่นๆ ทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตามเกี่ยวกับการขอยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้าว่า เมื่อศุลกากรปล่อยของแล้วให้ผู้ขายนำเก็บในคลังของผู้ซื้อทันที ห้ามนำเข้าไปเก็บในที่เก็บของผู้ขาย และการเปิดหีบห่อจะทำได้ต่อเมื่อผู้ซื้อยินยอมเท่านั้น เห็นได้ว่าเมื่อสิ่งของนั้นถูกส่งจากต่างประเทศมาถึงประเทศไทย ผู้ขายไม่มีโอกาสตรวจสอบความสมบูรณ์เรียบร้อยของสิ่งของก่อนส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อเลย ดังนี้ เมื่อผู้ขายนำสิ่งของไปส่งที่กรมขนส่งทหารอากาศย่อมถือได้ว่าผู้ขายส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้ผู้ซื้อแล้ว โดยหาจำต้องให้กรรมการตรวจรับของยอมรับไว้ใช้ในราชการเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการส่งมอบตามสัญญาไม่
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ"หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3568/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ที่เป็นของผู้อื่น: คำให้การที่ไม่ชัดเจนทำให้รับฟังตามคำร้องขัดทรัพย์
โจทก์นำยึดที่พิพาทเพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง จำเลยขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้ว โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ล่าช้า ดังนี้ ตามคำให้การของโจทก์คงกล่าวแต่เพียงว่า ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาด แต่ไม่ได้อ้างว่าสมคบกันอย่างไร และมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้แต่ประการใด คดีต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องว่า จำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง และทรัพย์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3568/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์พิพาท: โจทก์ต้องปฏิเสธข้ออ้างผู้ร้องชัดเจน หากมิเช่นนั้นศาลต้องรับฟังตามคำร้อง
โจทก์นำยึดที่พิพาทเพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง จำเลยขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้ว โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ล่าช้า ดังนี้ ตามคำให้การของโจทก์คงกล่าวแต่เพียงว่าผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาด แต่ไม่ได้อ้างว่าสมคบกันอย่างไร และมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้แต่ประการใด คดีต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องว่า จำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง และทรัพย์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3128/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองที่ดินโดยสัญญาซื้อขายและการครอบครองแทนกัน ย่อมทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครอง
โจทก์ทำหนังสือสัญญาซื้อที่ดินมือเปล่าจากจำเลยแล้วเข้าทำฮวงซุ้ยที่ดินส่วนที่เหลือโจทก์ยอมให้จำเลยทำนาได้ (ตามหนังสือสัญญาจำเลยยอมโอนสิทธิในที่ดินแก่โจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยทำประโยชน์ในที่นาพิพาท) จำเลยจะอ้างว่าการซื้อขายเป็นโมฆะหรือโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่นาพิพาทไม่ได้ เพราะการโอนสิทธิครอบครองก็ดีการสละสิทธิครอบครองก็ดี หาได้มีกฎหมายกำหนดแบบไว้ไม่ เมื่อจำเลยแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองแก่โจทก์และรับที่จะครอบครองแทนโจทก์ต่อไป ต่อแต่นั้นมาการครอบครองที่นาพิพาทของจำเลยย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3128/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองที่ดินโดยไม่มีแบบตามกฎหมาย สิทธิครอบครองย่อมตกแก่ผู้รับโอน
โจทก์ทำหนังสือสัญญาซื้อที่ดินมือเปล่าจากจำเลยแล้วเข้าทำฮวงซุ้ยที่ดินส่วนที่เหลือโจทก์ยอมให้จำเลยทำนาได้ (ตามหนังสือสัญญาจำเลยยอมโอนสิทธิในที่ดินแก่โจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยทำประโยชน์ในที่นาพิพาท) จำเลยจะอ้างว่าการซื้อขายเป็นโมฆะหรือโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่นาพิพาทไม่ได้ เพราะการโอนสิทธิครอบครองก็ดีการสละสิทธิครอบครองก็ดี หาได้มีกฎหมายกำหนดแบบไว้ไม่. เมื่อจำเลยแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองแก่โจทก์และรับที่จะครอบครองแทนโจทก์ต่อไป ต่อแต่นั้นมาการครอบครองที่นาพิพาทของจำเลยย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องรับรองแนวเขตที่ดินไม่เคลือบคลุม แม้ไม่มีแผนที่ท้ายฟ้อง เพราะจำเลยทราบข้อเท็จจริงจากคดีเดิมและโฉนดที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้รับรองแนวเขตที่ดินมีโฉนด โดยบรรยายฟ้องว่าที่ดินของโจทก์อยู่ทางทิศเหนือที่ดินมีโฉนดของจำเลย และคดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีเดิมซึ่งได้มีการนำชี้ทำแผนที่พิพาทมาแล้ว ดังนี้ จำเลยย่อมทราบข้อเท็จจริงอยู่ก่อน ที่ดินต่างมีโฉนดด้วยกัน ซึ่งมีรูปแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของแต่ละฝ่ายในโฉนด การที่โจทก์ไม่มีแผนที่ท้ายฟ้องประกอบมากับคำฟ้องด้วยหาทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาแต่ประการใดไม่ ฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3065/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษจำเลย โจทก์ต้องพิสูจน์ความผิดด้วยตนเอง
คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า รับฟังได้แต่เพียงเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานในชั้นศาล เมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นศาลไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยกระทำผิด ลำพังแต่บันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
ในคดีอาญา โจทก์มีภาระหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดของจำเลย เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด แม้จำเลยจะไม่สืบพยานก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3065/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังลงโทษจำเลย โจทก์มีภาระนำสืบพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิด
คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า รับฟังได้แต่เพียงเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานในชั้นศาลเมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นศาลไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยกระทำผิด ลำพังแต่บันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
ในคดีอาญา โจทก์มีภาระหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดของจำเลย เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด แม้จำเลยจะไม่สืบพยานก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุของเจ้าพนักงาน การใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้ที่ไม่มีอาวุธ
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่จับกุม พ. เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน ระหว่างทางผู้เสียหายกับพวกรุมทำร้าย พ. ครั้นจำเลยห้ามปรามผู้เสียหายกลับชกจำเลยล้มลง จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส เมื่อฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีอาวุธ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย นับได้ว่าเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 69
of 40