พบผลลัพธ์ทั้งหมด 145 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ศาลฎีกาพิจารณานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องกระทำโดยการยื่นคำฟ้องฎีกา ไม่ใช่คำแก้ฎีกา
คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหาที่ฟ้องมาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องยื่นคำฟ้องฎีกาโดยตรง
คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหาที่ฟ้องมาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4178/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระอากรและเงินเพิ่มหลังเพิกสิทธิส่งเสริมการลงทุน จำเลยต้องชำระตามกฎหมายศุลกากร
กรณีของจำเลยไม่อาจบังคับตามมาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 55 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 เพราะคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมิได้มีคำเตือนให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขตามมาตรา 54 วรรคสอง แต่คณะกรรมการใช้อำนาจสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์แก่จำเลย ตามมาตรา 54 วรรคหนึ่ง และได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยมีหน้าที่ชำระภาษีอากรและภาษีอากรเพิ่มภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 55 วรรคสาม แต่จำเลยมิได้ชำระภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469มาตรา 112 จัตวา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์คิดเงินเพิ่มจากจำเลยเกินเงินภาษีอากร เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 มาตรา 55 วรรคสี่นั้น จำเลยมิได้กล่าวอ้างความข้อนี้มาในคำให้การ ทั้งยังเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย เพราะศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยต้องชำระเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวาหาใช่ต้องชำระเงินเพิ่มตามมาตรา 55 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3664/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อที่มิได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้มีเหตุผลสนับสนุน
ปัญหาที่คู่ความฎีกาขึ้นมานั้น หากเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน เพราะจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหา และคดีก่อนไม่ใช่ฟ้องซ้ำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง ปลูกอยู่ในที่ดินของ วัดหูน้ำ (ร้าง)จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดิน วัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อ แต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิม ที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ ถนนสะเดียงทอง นั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน และไม่เป็นฟ้องซ้ำหากคดีก่อนไม่วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นสัญญาใหม่ทำให้ขาดอายุความ ฟ้องไม่ขาดอายุความ
จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยมิต้องรับผิด ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือรับสภาพหนี้มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาและจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 3,827 บาท จึงเป็นการกล่าวอ้างยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
เมื่อมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วสัญญารับสภาพความรับผิดย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ จึงต้องนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันทำสัญญารับสภาพความรับผิดเป็นต้นไป
เมื่อมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วสัญญารับสภาพความรับผิดย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ จึงต้องนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันทำสัญญารับสภาพความรับผิดเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ & อายุความ: การรับสภาพหนี้ใหม่ทำให้ระยะเวลาอายุความเริ่มต้นใหม่
จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยมิต้องรับผิด ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือรับสภาพหนี้มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาและจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 3,827 บาท จึงเป็นการกล่าวอ้างยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วสัญญารับสภาพความรับผิดย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ จึงต้องนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันทำสัญญารับสภาพความรับผิดเป็นต้นไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชัดเจน การฎีกาเพียงไม่เห็นด้วยโดยไม่ระบุเหตุผลไม่เป็นไปตามกฎหมาย
ฎีกานั้นจะต้องยกฟ้องข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร จะฎีกาแต่เพียงลอย ๆ ว่าไม่เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เลยนั้น ย่อมเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน การฎีกาโดยไม่ระบุเหตุผลคัดค้านย่อมเป็นฎีกาที่ไม่รับพิจารณา
ฎีกานั้นจะต้องยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร จะฎีกาแต่เพียงลอย ๆ ว่าไม่เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เลยนั้นย่อมเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคแรก ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้