พบผลลัพธ์ทั้งหมด 19 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาว่าจ้างซ่อมรถยนต์: ผู้ว่าจ้างคือโจทก์ จำเลยรับภาระแทนลูกหนี้ โจทก์ไม่ต้องชำระหนี้
ม.ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายโดย ม.ยอมรับผิดต่อโจทก์ ต่อมาโจทก์และ ม.มาพบจำเลยที่อู่ของจำเลย เพื่อให้จำเลยประเมินค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ จำเลยประเมินราคาค่าซ่อมและค่าอะไหล่รวม 100,000 บาท โจทก์และ ม.ตกลงค่าซ่อมและค่าอะไหล่ 70,000 บาทจำเลยตกลงรับจ้างซ่อมให้ ข้อตกลงระหว่างโจทก์และ ม.มีเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาว่า ม.ชำระค่าซ่อมในวันทำสัญญา 30,000 บาท ส่วนที่เหลือ 40,000 บาทจะนำมาชำระที่อู่ของจำเลยภายในวันที่ 30 มีนาคม 2536 หากผิดนัดยอมชำระค่าซ่อมและค่าอะไหล่ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด โดยมีโจทก์และ ม.ลงชื่อเป็นคู่สัญญา จำเลยกับ พ.ภริยาจำเลยลงชื่อเป็นพยาน ในวันเดียวกันนั้นโจทก์และจำเลยทำสัญญาว่า อู่ของจำเลยจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้เสร็จประมาณวันที่ 5มีนาคม 2536 ได้รับชำระหนี้ล่วงหน้าแล้ว 30,000 บาท ส่วนที่เหลือ 40,000 บาทผู้ซ่อมจะเรียกเก็บจาก ม.โดยค่าซ่อมส่วนนี้โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โจทก์ลงชื่อในฐานะผู้ให้ซ่อม จำเลยลงชื่อในฐานะผู้ซ่อม แม้ตามสัญญาจะมิได้ระบุชัดว่าโจทก์หรือม.เป็นผู้ว่าจ้างจำเลย คงมีเงื่อนไขในข้อตกลงของโจทก์และ ม.ว่า ม.จะนำค่าซ่อมส่วนที่เหลือดังกล่าวแก่จำเลย เนื่องจากจำเลยเป็นเจ้าของอู่และยังเป็นเจ้าหนี้ในค่าซ่อมส่วนที่เหลือดังกล่าวด้วย แต่เงื่อนไขดังกล่าวยังไม่พอฟังว่า ม.ว่าจ้างจำเลยซ่อมเพราะตามสัญญาดังกล่าวยังมิได้กำหนดเวลาซ่อมเสร็จอันเป็นข้อสาระสำคัญของสัญญาว่าจ้างซ่อม ทั้งเป็นเรื่องระหว่างโจทก์และ ม.ซึ่งเป็นคู่สัญญา จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาด้วย แต่กำหนดเวลาซ่อมแล้วเสร็จมาระบุในสัญญาเอกสารหมาย จ.5 โดยมีโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญา ทั้งการลงชื่อในสัญญาก็ได้ระบุว่าโจทก์ในฐานะผู้ให้ซ่อมจำเลยในฐานะผู้ซ่อม โจทก์จึงเป็นผู้ว่าจ้างจำเลยซ่อมรถยนต์ของโจทก์ หาใช่ ม.ไม่
เมื่อจำเลยซ่อมรถยนต์ของโจทก์เสร็จ และ ม.ผิดนัด ไม่นำเงินค่าซ่อมส่วนที่เหลือมาชำระแก่จำเลยตามที่ตกลงกับโจทก์ใน โจทก์ก็ต้องเป็นผู้ชำระค่าซ่อมดังกล่าวแก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจำเลยจะเป็นผู้เรียกเก็บค่าซ่อมส่วนที่เหลือ 40,000 บาท จาก ม.เองโดยโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าซ่อมดังกล่าว แสดงว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในค่าซ่อมดังกล่าวตกลงรับภาระแทนโจทก์ โดยจะเรียกเก็บค่าซ่อมส่วนที่เหลือจาก ม.ตามที่ ม.ตกลงกับโจทก์ไว้โดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าซ่อมแก่จำเลย ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาอย่างหนึ่งผูกพันจำเลยต้องปฏิบัติตาม เมื่อจำเลยไม่อาจเรียกค่าซ่อมจาก ม.ได้เนื่องจาก ม.ไม่ยอมชำระ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิย้อนกลับมาฟ้องเรียกค่าซ่อมส่วนที่เหลือดังกล่าวจากโจทก์อีกเพราะขัดต่อสัญญาที่จำเลยตกลงทำกับโจทก์ไว้โดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ม.ต้องชำระค่าซ่อมแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องชำระค่าซ่อมดังกล่าวแก่จำเลย
เมื่อจำเลยซ่อมรถยนต์ของโจทก์เสร็จ และ ม.ผิดนัด ไม่นำเงินค่าซ่อมส่วนที่เหลือมาชำระแก่จำเลยตามที่ตกลงกับโจทก์ใน โจทก์ก็ต้องเป็นผู้ชำระค่าซ่อมดังกล่าวแก่จำเลย แต่เมื่อจำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจำเลยจะเป็นผู้เรียกเก็บค่าซ่อมส่วนที่เหลือ 40,000 บาท จาก ม.เองโดยโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าซ่อมดังกล่าว แสดงว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในค่าซ่อมดังกล่าวตกลงรับภาระแทนโจทก์ โดยจะเรียกเก็บค่าซ่อมส่วนที่เหลือจาก ม.ตามที่ ม.ตกลงกับโจทก์ไว้โดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าซ่อมแก่จำเลย ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาอย่างหนึ่งผูกพันจำเลยต้องปฏิบัติตาม เมื่อจำเลยไม่อาจเรียกค่าซ่อมจาก ม.ได้เนื่องจาก ม.ไม่ยอมชำระ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิย้อนกลับมาฟ้องเรียกค่าซ่อมส่วนที่เหลือดังกล่าวจากโจทก์อีกเพราะขัดต่อสัญญาที่จำเลยตกลงทำกับโจทก์ไว้โดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ม.ต้องชำระค่าซ่อมแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องชำระค่าซ่อมดังกล่าวแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2089/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับเงินค่าจ้างจากการก่อสร้าง แม้จะยังไม่เสร็จ และการไม่ถือว่าผิดสัญญา แม้เลยกำหนด
นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ทำงานถึงปีเศษแต่ยังไม่เสร็จสิ้น แล้วโจทก์ก็ละทิ้งงาน จำเลยจึงหาช่างมาดำเนินการต่อ ดังนี้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรับมอบงานในส่วนที่โจทก์ทำไปแล้วโดยปริยาย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างในการก่อสร้างในส่วนดังกล่าว และเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวทวงถามก่อนที่จะฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ตรงตามระยะเวลาในสัญญา เมื่อปรากฏตามสัญญาว่าจ้างว่าจำเลยจะต้องชำระค่าจ้างให้โจทก์งวดละ 200,000 บาท งวดสุดท้ายชำระส่วนที่เหลือทั้งหมด แต่จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์เฉพาะในงวดที่ 3, 4 และ 5 งวดละ 100,000 บาทโดยจำเลยอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างไม่ครบตามรายการสัญญา และแม้เป็นความจริงว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบรายการตามสัญญาแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ไม่ถือว่าจำเลยชำระค่าจ้างไม่ตรงตามงวดเป็นการผิดสัญญาคงทำงานให้จำเลยต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา
ตามสัญญาจ้างมิได้ระบุวันเริ่มต้นทำการงานกันไว้ คงระบุเพียงให้แล้วเสร็จภายใน 160 วัน แต่โจทก์ทำงานไม่เสร็จในระยะดังกล่าว และจำเลยยังคงให้โจทก์ทำงานต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาทำงานให้เสร็จเป็นสำคัญ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาเช่นกัน
ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ตรงตามระยะเวลาในสัญญา เมื่อปรากฏตามสัญญาว่าจ้างว่าจำเลยจะต้องชำระค่าจ้างให้โจทก์งวดละ 200,000 บาท งวดสุดท้ายชำระส่วนที่เหลือทั้งหมด แต่จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์เฉพาะในงวดที่ 3, 4 และ 5 งวดละ 100,000 บาทโดยจำเลยอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างไม่ครบตามรายการสัญญา และแม้เป็นความจริงว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบรายการตามสัญญาแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ไม่ถือว่าจำเลยชำระค่าจ้างไม่ตรงตามงวดเป็นการผิดสัญญาคงทำงานให้จำเลยต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา
ตามสัญญาจ้างมิได้ระบุวันเริ่มต้นทำการงานกันไว้ คงระบุเพียงให้แล้วเสร็จภายใน 160 วัน แต่โจทก์ทำงานไม่เสร็จในระยะดังกล่าว และจำเลยยังคงให้โจทก์ทำงานต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาทำงานให้เสร็จเป็นสำคัญ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2089/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาจ้างก่อสร้าง: การรับมอบงานโดยปริยาย, การชำระค่าจ้างไม่ตรงตามงวด, และการไม่ถือเอากำหนดเวลาเป็นสำคัญ
นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ทำงานถึงปีเศษแต่ยังไม่เสร็จสิ้นแล้วโจทก์ก็ละทิ้งงาน จำเลยจึงหาช่างมาดำเนินการต่อ ดังนี้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการรับมอบงานในส่วนที่โจทก์ทำไปแล้วโดยปริยาย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างในการก่อสร้างในส่วนดังกล่าว และเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวทวงถามก่อนที่จะฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ตรงตามระยะเวลาในสัญญา เมื่อปรากฏตามสัญญาว่าจ้างว่าจำเลยจะต้องชำระค่าจ้างให้โจทก์งวดละ 200,000 บาทงวดสุดท้ายชำระส่วนที่เหลือทั้งหมด แต่จำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์เฉพาะในงวดที่ 3,4 และ 5 งวดละ 100,000 บาทโดยจำเลยอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างไม่ครบตามรายการสัญญาและแม้เป็นความจริงว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบรายการตามสัญญาแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย แสดงว่าโจทก์ไม่ถือว่าจำเลยชำระค่าจ้างไม่ตรงตามงวดเป็นการผิดสัญญาคงทำงานให้จำเลยต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ตามสัญญาจ้างมิได้ระบุวันเริ่มต้นทำการงานกันไว้คงระบุเพียงให้แล้วเสร็จภายใน 160 วัน แต่โจทก์ทำงานไม่เสร็จในระยะดังกล่าว และจำเลยยังคงให้โจทก์ทำงานต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาทำงานให้เสร็จเป็นสำคัญจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของล่าช้า ผู้ว่าจ้างมีสิทธิลดค่าจ้างได้
โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ขอใบอนุญาตแสดงดนตรีเกินสองชิ้นในสถานบริการแก่โจทก์ในราคาสินจ้าง 70,000 บาท จำเลยรับสินจ้างไปล่วงหน้าแล้วกำหนดจะมอบใบอนุญาตหรือคืนเงินให้โจทก์ภายในวันที่ 10 เมษายน 2525 จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างด้วยความรู้ความสามารถของจำเลย แต่ผลงานของจำเลยสำเร็จล่าช้าไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญา ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง มิใช่รับสินจ้างคืนทั้งหมด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2448/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของล่าช้า ผู้ว่าจ้างมีสิทธิลดหย่อนค่าจ้างได้ มิใช่เรียกคืนทั้งหมด
โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ขอใบอนุญาตแสดงดนตรีเกินสองชิ้นในสถานบริการแก่โจทก์ในราคาสินจ้าง 70,000 บาท จำเลยรับสินจ้างไปล่วงหน้าแล้วกำหนดจะมอบใบอนุญาตหรือคืนเงินให้โจทก์ภายในวันที่ 10 เมษายน 2525 จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างด้วยความรู้ความสามารถของจำเลย แต่ผลงานของจำเลยสำเร็จล่าช้าไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญา ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง มิใช่รับสินจ้างคืนทั้งหมด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2052/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบงานล่าช้า, การยอมรับมอบงานโดยไม่มีข้อโต้แย้ง, และผลกระทบต่อการลดหย่อนค่าจ้างตามสัญญา
ฟ้องแย้งมีทุนทรัพย์ 29,500 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
โจทก์ส่งมอบงานเกินกำหนดเวลาตามสัญญาและจำเลยยอมรับมอบงานจากโจทก์โดยมิได้อิดเอื้อน โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเพื่อการส่งมอบที่เนิ่นช้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 597
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 596 ให้ถือเอาการส่งมอบการงานเป็นการทำงานเสร็จสิ้น การขนย้ายปั้นจั่นล่าช้าของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังการส่งมอบการงานเสร็จสิ้นแล้วจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เหตุแห่งการส่งมอบงานที่เนิ่นช้าซึ่งจะเป็นเหตุให้ลดสินจ้างได้
โจทก์ส่งมอบงานเกินกำหนดเวลาตามสัญญาและจำเลยยอมรับมอบงานจากโจทก์โดยมิได้อิดเอื้อน โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเพื่อการส่งมอบที่เนิ่นช้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 597
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 596 ให้ถือเอาการส่งมอบการงานเป็นการทำงานเสร็จสิ้น การขนย้ายปั้นจั่นล่าช้าของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังการส่งมอบการงานเสร็จสิ้นแล้วจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เหตุแห่งการส่งมอบงานที่เนิ่นช้าซึ่งจะเป็นเหตุให้ลดสินจ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของ พ้นวิสัยจากเหตุเจ้าหนี้จำเลยยึดทรัพย์ และการบอกเลิกสัญญา
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดการชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทนซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3)
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดการชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทนซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของ พ้นวิสัยจากเหตุผู้รับจ้างก่อหนี้ การบอกเลิกสัญญา และการคืนเงินมัดจำ
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ. เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา. โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น. เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา. โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น.
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา. เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด. การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ.ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน. ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว. จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3).
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา. เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด. การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ.ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน. ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว. จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของ การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย และการบอกเลิกสัญญา
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (3)
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (3)