พบผลลัพธ์ทั้งหมด 343 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยในฐานะผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่เกิดละเมิด และบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยกับผู้ให้เช่าซื้อ ไม่ต้องรับผิดในผลละเมิด
จำเลยที่3รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดน.ห้างฯดังกล่าวได้ให้จำเลยที่2เช่าซื้อรถนั้นไปในขณะเกิดเหตุห้างฯมิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่1ที่จำเลยที่1ทำละเมิดต่อโจทก์ห้างฯหาต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นไม่จำเลยที่3ผู้รับประกันภัยไว้กับห้างฯในลักษณะประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันภัยรถยนต์: ความรับผิดของผู้รับประกันภัยในกรณีที่ผู้เช่าซื้อรถทำละเมิด และบทบาทของประกันภัยค้ำจุน
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ห้าง ฯ ดังกล่าวได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถนั้นไปในขณะเกิดเหตุ ห้าง ฯ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1ทำละเมิดต่อโจทก์ ห้าง ฯ หาต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นไม่ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยไว้กับห้างฯ ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน จึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยรถยนต์: การรับประกันภัยค้ำจุนและการไม่รับผิดในผลละเมิดของนายจ้างที่ไม่เกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ห้าง ฯ ดังกล่าวได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถนั้นไปในขณะเกิดเหตุ ห้าง ฯ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ ห้าง ฯ หาต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นไม่ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยไว้กับห้างฯ ในลักษณะประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส และอำนาจปกครองบุตร
บทบัญญัติมาตรา 1536 ซึ่งบัญญัติว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี หมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิงขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสันนิษฐานความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส และสิทธิในการปกครองบุตร
บทบัญญัติมาตรา1536ซึ่งบัญญัติว่าเด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีหมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิงขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วจึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายในกรณีจดทะเบียนสมรสและมิได้จดทะเบียนสมรส การใช้อำนาจปกครองเด็ก
บทบัญญัติมาตรา 1536 ซึ่งบัญญัติว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี หมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิง ขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: ต้องพิจารณามาตรา 172 ก่อนมาตรา 174 วรรคสอง และสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การที่จะพิจารณาว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา174วรรคสองหรือไม่ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา172หรือไม่การกระทำความผิดตามมาตรา174วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตราS93ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา172จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา174วรรคสองได้นั้นจะต้องกระทำความผิดตามมาตรา172เสียก่อนแม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตามมาตรา172มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวดังนี้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: มาตรา 172 ก่อน 174 วรรคสอง และข้อยกเว้นการห้ามอุทธรณ์
การที่จะพิจารณาว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา172 หรือไม่ การกระทำความผิดตาม มาตรา 174 วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม มาตรา 172 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อนแม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อนแม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3646/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาความผิดแจ้งความเท็จ: มาตรา 172 ก่อน 174 วรรคสอง และข้อยกเว้นการอุทธรณ์
การที่จะพิจารณาว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาเสียก่อนว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 172 หรือไม่ การกระทำความผิดตาม มาตรา 174 วรรคสองมีอัตราโทษอย่างสูงเกินสามปีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิในกรณีเช่นนี้สำหรับความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม มาตรา 172 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อน แม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172 มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคสองได้นั้น จะต้องกระทำความผิดตาม มาตรา 172 เสียก่อน แม้โจทก์จะได้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดตาม มาตรา 172 มาด้วยและศาลชั้นต้นสั่งรับไว้ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังนี้ ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามลำดับชั้นของศาลเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด (มาตรา 31(3) พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา) แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกกันเอง
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาโดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกันจึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่าผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาทซึ่งกรณีนี้มาตรา31(3)ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายการเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านาดังนั้นเมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เป็นกฎหมายพิเศษนอกเหนือกฎหมายธรรมดาจึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ.