พบผลลัพธ์ทั้งหมด 52 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7105/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งคณะกรรมการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรคจากสภาพแวดล้อมการทำงาน และการพิจารณาคดีแรงงานตามพยานหลักฐาน
ประเด็นข้อพิพาทในคดีมีว่าจำเลยร่วมทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ ป่วยเป็นโรคปอดเนื่องจากการทำงานหรือไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทเดียวกันกับประเด็นข้อพิพาทในคดีเรื่องอื่นของศาลแรงงานกลางซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ ส่งลูกจ้างไปให้คณะกรรมการแพทย์ที่ศาลตั้งขึ้นตรวจวิเคราะห์โรคตามคำท้าของคู่ความ ได้ผลประการใดให้ถือเป็นข้อแพ้ชนะแห่งคดี และคู่ความทุกฝ่ายในคดีนี้เห็นพ้องต้องกันขอถือเอาคำท้าในคดีดังกล่าวเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยคดีนี้โดยตกลงให้จัดส่งจำเลยทั้งสองไปตรวจวิเคราะห์โรคด้วยเช่นเดียวกับคดีดังกล่าวข้างต้น ดังนี้เพื่อความสะดวกในการพิจารณาและพิพากษาคดี ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราว เพื่อรอฟังผลการตรวจวิเคราะห์โรคของจำเลยร่วมทั้งสองก่อน เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นพิพาททุกข้อที่กำหนดไว้ โดยพิจารณาไปตามเหตุผลที่ปรากฏในคำคู่ความและพยานหลักฐานในสำนวนมิได้วินิจฉัยคดีไปตามคำท้าของคู่ความในคดีอื่นซึ่งมีประเด็นที่พิพาทเป็นอย่างเดียวกันกรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลแรงงานกลางจะต้องเพิกถอนรายงานกระบวนพิจารณาที่ได้จดบันทึกพาดพิงถึงคำท้าของคู่ความในคดีอื่น เพราะรายงานกระบวนพิจารณาข้างต้นมิได้ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 30 ให้อำนาจแก่ศาลแรงงานกลางในการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยให้ถือว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้ความเห็นแก่ศาลประกอบการพิจารณาและพิพากษา ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองต้องการและพอใจให้ศาลจัดให้มีคณะกรรมการแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นเพื่อตรวจวิเคราะห์โรคของจำเลยทั้งสอง การแต่งตั้งคณะกรรมการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของศาลแรงงานกลางจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: ลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจ
ประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 4 เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกับคดีนี้ หากศาลในคดีอาญาวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อของจำเลยที่ 4 ในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อาจทำให้การตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรงดการพิจารณาคดีนี้ไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่จะปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อน
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการพิจารณาคดีแพ่งรอผลคดีอาญาเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อในเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่โอนให้เพื่อชำระหนี้จำนองจำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของโดยจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาสินไหมว่าร่วมกันปลอมลายมือชื่อจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจและนำไปขอจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อของจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่เช่นเดียวกับคดีนี้ซึ่งคำวินิจฉัยในคดีอาญาอาจทำให้การชี้ขาดตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปทั้งจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไว้แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา39เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประทับฟ้องคดีอาญาแล้วจึงมีเหตุสมควรที่จะงดรอฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้ากันทางศาล: ผลคดีอาญา (ปลอมแปลงพินัยกรรม) ผูกพันคดีแพ่ง (มรดก) ต้องรอฟังผลคดีอาญาถึงที่สุด
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทปลอมหรือไม่ มีความหมายว่าคู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในประเด็น ดังกล่าวดังนี้ ศาลต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็น หลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: การท้าพิสูจน์ตามคำพิพากษาคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาของศาลแขวงสงขลา ที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมเป็นข้อวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ว่าพินัยกรรมฉบับพิพาท เป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ย่อมมีความหมายว่าคู่ความประสงค์ให้ถือเอา ผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะกันในประเด็นดังกล่าว เมื่อคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดและไม่ปรากฏว่าคู่ความได้ยกเลิกคำท้า ศาล จึงต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็นหลักในการ วินิจฉัยตามที่คู่ความท้ากัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5803/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่ และการใช้ดุลพินิจศาลในการไม่รอฟังผลคดีอื่น
คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้รอฟังผลคดีอื่นให้ถึงที่สุดก่อน ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามที่เห็นสมควรตาม ป.วิ.พ. มาตรา 39 จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการสั่งไม่รอฟังผลคดีอื่น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 224.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายจากคดีกู้ยืมเงินตามพ.ร.ก.กู้ยืมเงินฯ จำเลยมีส่วนร่วมหรือไม่
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาในฐานะประธานกรรมการยังจัดให้ประชุมผู้ร่วมลงทุนออกหนังสือยืนยันว่าบริษัทยังดำเนินธุรกิจเป็นปกติ ทั้งยังออกหนังสือขอผ่อนผันชำระเงินทุนคืนแก่ผู้ร่วมลงทุนทุกราย เป็นการกำกับดูแลธุรกิจบริษัทประหนึ่งตนเป็น กรรมการผู้จัดการ พฤติการณ์บ่งชัดว่าได้ร่วมคบคิดกับบริษัท ซึ่งเป็นนิติบุคคลทำการกู้ยืมเงินด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะมิใช่ กรรมการผู้จัดการและ มิได้ลงนามในสัญญาในฐานะผู้แทนบริษัท จำเลย ที่ 1 ก็เป็นผู้กู้ยืม เงินตามนัยพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็น การฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 3 เมื่อจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะ เป็นผู้กู้ยืมเงินและได้ตกเป็นผู้ต้องหาตามพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 4,5 ทั้งได้ถูกฟ้องต่อศาลอาญาไว้แล้ว พนักงานอัยการจึงมี อำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลล้มละลายได้ตามพระราชกำหนด ดังกล่าว มาตรา 10 บริษัทเป็นผู้กู้ยืมเงินโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามในสัญญาในฐานะผู้แทนบริษัท จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นผู้กู้ยืมเงินไปด้วยตามนัยแห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 3 การที่จำเลยที่ 2 กระทำให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นโดยลงนามคนเดียว และไม่ประทับตราสำคัญของบริษัทนั้น หาทำให้ฐานะของจำเลยที่ 2 ที่เป็นผู้แทนบริษัทเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ยืมเงิน และได้ตกเป็นผู้ต้องหาตามพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา4,5 ทั้งได้ถูกฟ้องต่อศาลอาญาไว้แล้ว เช่นนี้ พนักงานอัยการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายได้ตาม พระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 10 จำเลยที่ 2 จะได้หลอกลวงประชาชน หรือไม่ หา ได้กระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ แม้จำเลยที่ 6 จะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทด้วยผู้หนึ่ง แต่ จำเลย ที่ 6ก็มิได้เป็นกรรมการบริษัท และไม่เคยได้รับเงินจาก ผู้ ร่วม ลงทุน โดยจ่ายหรือตกลงจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ร่วมลงทุน แต่ อย่างใดจำเลยที่ 6 ไม่มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือกับบริษัท ใน การ กู้ยืม เงินจากผู้ร่วมลงทุน จำเลยที่ 6 จึงมิใช่ผู้กู้ยืมเงิน ตาม นัย พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 3 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 6 เป็นบุคคลล้มละลาย ตาม พระราชกำหนด ดังกล่าวมาตรา 10 ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งไม่รอฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญา และได้ดำเนินการพิจารณาสืบพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้นแล้วมีคำพิพากษา ไปประกอบกับคดีส่วนอาญาที่อ้างถึงนั้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อใด ก็ไม่อาจทราบได้ จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรอคดีนี้ไว้ ฟัง ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ: ต้องรอฟังผลถึงที่สุดก่อนพิจารณาคดีนี้
ข้อความที่คู่ความแถลงท้ากันว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1ขับรถยนต์โดยสารประมาทหรือไม่นั้น คู่ความขอถือเอาผลคำพิพากษาของอีกคดีหนึ่งเป็นข้อแพ้ชนะ คำว่า ผลคำพิพากษาของอีกคดีหนึ่งนั้นมิได้ระบุว่าผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงต้องหมายถึงผลคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ตาม และเมื่อเป็นคำท้าคู่ความต้องผูกพันตามคำแถลงนั้น เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดคดีที่คู่ความท้ากันนี้ต้องรอฟังผลคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีนั้นเสียก่อน จึงจะพิจารณาประเด็นข้อพิพาทอื่นที่มิได้ท้ากันต่อไปได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1837/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีโดยจำเลย และการงดสืบพยานตามคำรับรอง ศาลชอบด้วยกระบวนพิจารณา
จำเลยที่ 3 ระบุอ้างพยานบุคคลไว้ตาม บัญชีพยานร่วม 3 ปากคือ ตัว จำเลยที่ 3 ต. และ พ. โดยระบุว่า พ. เป็นพยานหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกจำเลยที่ 3 ก็ขอเลื่อนคดี นัดที่สองและที่สามก็คงนำพยานมาสืบเพียงครั้งละ 1 ปาก ทั้งที่ในนัดที่สองจำเลยที่ 3 สามารถจะขอให้ศาลหมายเรียก พ. มาสืบได้ ดังนี้การที่จำเลยที่ 3 เพิ่งขอหมายเรียกให้ พ. มาศาลในนัดที่สามก่อนวันนัดเพียง 6 วันแล้วอ้างว่าส่งหมายเรียกไม่ได้ ขอเลื่อนคดอีก อันเป็นการขัดต่อ คำรับรองของจำเลยที่ 3 ที่แถลงไว้นัดก่อนว่าถ้า พยานไม่มาศาลก็ให้ถือ ว่าไม่ติดใจสืบนั้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ดำเนิน กระบวนพิจารณาในลักษณะประวิงคดี จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 3 เลื่อนคดีอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3542/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ถอนจำนองเฉพาะราย: ผู้จำนองมีสิทธิชำระหนี้เฉพาะสัญญาจำนองที่ถูกฟ้อง โดยไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ทุกราย
ทรัพย์สินรายหนึ่งอาจจำนองประกันหนี้หลายรายได้ หนี้ที่ประกันรายใดระงับสิ้นไป สัญญาจำนองที่ประกันหนี้รายนั้นย่อมระงับสิ้นไปเฉพาะราย และผู้จำนองมีสิทธิที่จะชำระหนี้เพื่อให้สัญญาจำนองรายใดรายหนึ่งระงับไปโดยไม่จำต้องชำระหนี้ทุกราย
การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองซึ่งประกันต่างรายซึ่งต้องว่ากล่าวเป็นราย ๆ ไปแล้ว การบังคับคดีก็ต้องแยกต่างหากจากกัน ฉะนั้นเมื่อเป็นหนี้ต่างรายแม้หลักทรัพย์ประกันรายเดียวกัน จำเลยผู้จำนองย่อมมีสิทธิที่จะชำระหนี้เฉพาะคดีนี้เพื่อให้สัญญาจำนองที่ประกันหนี้ในคดีนี้ระงับไปได้ ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งนั้น หากศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นหนี้โดย ได้จำนองทรัพย์รายเดียวกับที่จำนองในคดีนี้เป็นประกัน โจทก์ก็มีสิทธิที่จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินนั้นอีกได้ จึงไม่มีเหตุที่จะรอคดีนี้ไว้ฟังผลของคดีอื่น
การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองซึ่งประกันต่างรายซึ่งต้องว่ากล่าวเป็นราย ๆ ไปแล้ว การบังคับคดีก็ต้องแยกต่างหากจากกัน ฉะนั้นเมื่อเป็นหนี้ต่างรายแม้หลักทรัพย์ประกันรายเดียวกัน จำเลยผู้จำนองย่อมมีสิทธิที่จะชำระหนี้เฉพาะคดีนี้เพื่อให้สัญญาจำนองที่ประกันหนี้ในคดีนี้ระงับไปได้ ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งนั้น หากศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นหนี้โดย ได้จำนองทรัพย์รายเดียวกับที่จำนองในคดีนี้เป็นประกัน โจทก์ก็มีสิทธิที่จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินนั้นอีกได้ จึงไม่มีเหตุที่จะรอคดีนี้ไว้ฟังผลของคดีอื่น