พบผลลัพธ์ทั้งหมด 728 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเงินบำเหน็จ: ข้อบังคับนายจ้างกำหนดเฉพาะพนักงานประจำ ลูกจ้างชั่วคราวไม่มีสิทธิ
สิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จเป็นสิทธิที่กำหนดขึ้นโดยข้อบังคับของนายจ้าง นายจ้างมีสิทธิที่จะกำหนดเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนายจ้างได้ จำเลยผู้เป็นนายจ้างกำหนดไว้ว่าพนักงานของจำเลยเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จแม้โจทก์จะเป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งทำงานติดต่อกันมาเกินกว่า 120 วัน มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างประจำก็หมายถึงสิทธิที่ลูกจ้างประจำมีอยู่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ เท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิรับเงินบำเหน็จจำกัดเฉพาะพนักงานประจำตามข้อบังคับนายจ้าง แม้เป็นลูกจ้างชั่วราวก็ไม่ได้รับ
สิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จเป็นสิทธิที่กำหนดขึ้นโดยข้อบังคับของนายจ้าง นายจ้างมีสิทธิที่จะกำหนดเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนายจ้างได้ จำเลยผู้เป็นนายจ้างกำหนดไว้ว่าพนักงานของจำเลยเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ แม้โจทก์จะเป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งทำงานติดต่อกันมาเกินกว่า 120 วัน มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างประจำก็หมายถึงสิทธิที่ลูกจ้างประจำมีอยู่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ เท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้าทางทะเลเมื่อสินค้าสูญหาย และข้อยกเว้นความรับผิดตามใบตราส่ง
บริษัท น. เป็นผู้ขนส่งสินค้าให้แก่ห้าง ศ. จากประเทศบราซิลและบริษัท น. ว่าจ้างบริษัท ป. ให้รับขนสินค้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อเรือมาถึงประเทศไทย จำเลยที่ 2 ตัวแทนบริษัท ป. แจ้งให้ห้าง ศ.ทราบจัดการให้เรือเทียบท่า หาคนขนถ่ายสินค้า ออกใบส่งมอบสินค้าให้จำเลยที่ 1 ผู้รับตราส่ง จำเลยที่ 1 จะต้องโอนสินค้าให้ห้าง ศ.จึงจะไปเบิกสินค้าจากโกดังของการท่าเรือฯ ได้ การขนส่งสินค้าดังกล่าวเป็นวิธีดำเนินการค้าอันทำให้ได้รับบำเหน็จทางการค้าตามปกติของตน จึงเป็นการดำเนินงานในลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้า และเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลเมื่อสินค้าเกิดเสียหายขึ้น ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486-1487/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากปุ๋ยและการจ่ายปุ๋ยผิดพลาด จำเลยต้องรับผิดคืนปุ๋ยหรือชดใช้ราคา
โจทก์ซื้อปุ๋ยจากจำเลย จำเลยส่งมอบปุ๋ยให้โจทก์ตรวจรับตามจำนวนและคุณภาพถูกต้องแล้ว การที่จำเลยเก็บรักษาปุ๋ยไว้ ณ โกดังของจำเลยเพื่อรอจ่ายให้แก่ผู้รับตามใบสั่งจ่ายปุ๋ยของโจทก์เป็นคราว ๆ จนกว่าจะครบจำนวน ถือได้ว่าจำเลยรับฝากปุ๋ยของโจทก์ไว้ จำเลยจะต้องคืนปุ๋ยให้แก่โจทก์หรือจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งถือใบสั่งจ่ายของโจทก์ตามข้อตกลง การที่จำเลยจ่ายปุ๋ยให้แก่ผู้ถือใบสั่งจ่ายปุ๋ยซึ่งลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและตราของโจทก์ที่ประทับเป็นของปลอม ถือได้ว่าจำเลยจ่ายปุ๋ยให้แก่ผู้อื่นผิดไปจากข้อตกลง จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486-1487/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากปุ๋ยและการจ่ายปุ๋ยผิดพลาด จำเลยต้องรับผิดคืนปุ๋ยหรือชดใช้ราคา
โจทก์ซื้อปุ๋ยจากจำเลย จำเลยส่งมอบปุ๋ยให้โจทก์ตรวจรับตามจำนวนและคุณภาพถูกต้องแล้ว การที่จำเลยเก็บรักษาปุ๋ยไว้ ณ โกดังของจำเลยเพื่อรอจ่ายให้แก่ผู้รับตามใบสั่งจ่ายปุ๋ยของโจทก์เป็นคราว ๆ จนกว่าจะครบจำนวน ถือได้ว่าจำเลยรับฝากปุ๋ยของโจทก์ไว้ จำเลยจะต้องคืนปุ๋ยให้แก่โจทก์หรือจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งถือใบสั่งจ่ายของโจทก์ตามข้อตกลง การที่จำเลยจ่ายปุ๋ยให้แก่ผู้ถือใบสั่งจ่ายปุ๋ยซึ่งลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและตราของโจทก์ที่ประทับเป็นของปลอม ถือได้ว่าจำเลยจ่ายปุ๋ยให้แก่ผู้อื่นผิดไปจากข้อตกลง จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งแล้ว อัยการศาลทหารกรุงเทพ (พนักงานอัยการ กรมอัยการ) ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นมูลกรณีเดียวกัน คดีแพ่งเรื่องนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 บัญญัติให้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส พิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส พิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญาในการพิจารณาคดีแพ่ง
หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งแล้ว อัยการศาลทหารกรุงเทพ(พนักงานอัยการ กรมอัยการ) ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นมูลกรณีเดียวกัน คดีแพ่งเรื่องนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 บัญญัติให้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังได้ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับเอกสารหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ต่างจากเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้มีการฝ่าฝืนข้อบังคับ แต่ไม่มีเจตนาทุจริต
แม้ตามข้อบังคับของนายจ้างจะกำหนดว่า ลูกจ้างจะเบิกเงินค่าทำ หมันได้ก็ต่อเมื่อภริยาของลูกจ้างได้รับการผ่าตัดทำหมัน แล้ว ก็ตามแต่ การ ที่ ก่อน ลูกจ้าง จะ เบิก เงิน ค่า ทำหมันภริยาของลูกจ้าง มีความตั้งใจ ที่จะทำหมันและได้จ่ายเงินค่าทำหมันไปแล้วเหตุที่ ยังไม่ทำหมันในทันที เนื่องจากเจ็บป่วย ต่อมาหลังจากคลอดบุตรแล้ว แพทย์ก็ได้ทำหมันให้โดยถือเอาหลักฐานการชำระค่าทำหมันเดิม ที่ได้ชำระเงินไว้แล้ว ทั้งนายจ้างก็มิได้จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างเกินไป จากที่ควรจะต้องจ่าย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ทุจริตต่อหน้าที่ และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ดังนี้ เมื่อนายจ้างไล่ลูกจ้างออกจากงาน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม