พบผลลัพธ์ทั้งหมด 728 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแต่ผู้เดียว
ลูกจ้างฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่า การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ขอให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงานกับให้ใช้ค่าเสียหาย ปรากฏว่านายจ้างถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนฟ้องแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจต่อสู้คดีใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายจ้างได้แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ เมื่อการที่ลูกจ้างฟ้องเป็นการขอบังคับชำระหนี้เอาแก่นายจ้าง ศาลย่อมไม่รับฟ้องไว้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 893/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343-2346/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงงานยาสูบเป็นรัฐวิสาหกิจ นายจ้างลูกจ้างบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้
โรงงานยาสูบเป็นโรงงานผลิตบุหรี่ซิกาแรตจำหน่ายเพื่อแสวงหากำไรเป็นรายได้ของแผ่นดินที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการเช่นเอกชนผู้ประกอบอุตสาหกรรมอื่นโดยทั่วไป มิใช่ราชการส่วนกลางตามความหมายที่ยกเว้นไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน แต่เป็นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้แทนได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบมีอำนาจควบคุมดูแลจัดกิจการของโรงงานตามที่จำเลยที่ 1 มอบหมาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างตามความของประกาศกระทรวงมหาดไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานมีเครื่องชั่งผิดอัตราต้องระบุเจตนาใช้เพื่อเอาเปรียบหรือค้า หากขาดองค์ประกอบ ศาลไม่สามารถลงโทษได้
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยมีเครื่องชั่งไว้ในความครอบครองโดยมีเจตนาอย่างใด จึงขาดองค์ประกอบความผิด แต่โจทก์ได้บรรยายถึงความผิดฐานใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราและไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกันการที่จะพิจารณาว่าคำบรรยายฟ้องในความผิดฐานใดครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกระทง คำบรรยายฟ้องในความผิดฐานมีเครื่องชั่งผิดอัตราและไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายจึงไม่สมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2233/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากยุบหน่วยงาน ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หากลูกจ้างไม่แสดงความจำนงทำงานอื่น
จำเลยประสงค์จะยุบหน่วยงานจึงเลิกจ้างโจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด โจทก์กลับไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่แรงงานจนเป็นเหตุให้มีการตกลงเลิกจ้างกันนับว่าการเลิกจ้างของจำเลยมีเหตุอันสมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากมีมลทินมัวหมอง มิใช่จากความจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย ศาลยืนค่าชดเชยตามสิทธิ
โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเป็นผู้มีมลทินมัวหมอง มิใช่เพราะกระทำผิดตามข้อกล่าวหาว่า ประพฤติตนไม่สมควร แอบอ้างชื่อผู้ใหญ่ไปเรียกและรับค่าตอบแทนในการวิ่งเต้นช่วยเหลือบุคคลเข้าเป็นพนักงาน ติดต่อกับพนักงานอื่นให้ช่วยเหลือบุคคลเข้าทำงานโดยจะให้เงินเป็นค่าตอบแทน ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายตามข้อ 47(2) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ อันจำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความย่อมมีอำนาจพิพากษาเกินกว่าคำขอบังคับได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 52 ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องขอค่าชดเชยมา 18,120 บาท อันเป็นการคำนวณผิดพลาด โดยโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 18,180 บาท การที่ศาลแรงงานกลางเห็นสมควรและพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ 18,180 บาท จึงเป็นการชอบแล้ว
ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความย่อมมีอำนาจพิพากษาเกินกว่าคำขอบังคับได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 52 ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องขอค่าชดเชยมา 18,120 บาท อันเป็นการคำนวณผิดพลาด โดยโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 18,180 บาท การที่ศาลแรงงานกลางเห็นสมควรและพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ 18,180 บาท จึงเป็นการชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189-2190/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเคหะแห่งชาติมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรหรือไม่ และต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือไม่
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 28 กำหนดว่า "ในการดำเนินกิจการของการเคหะแห่งชาติให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน" เป็นหลักของรัฐวิสาหกิจทั้งหลายของรัฐควรต้องคำนึงอยู่แล้ว หาใช่เป็นข้อแสดงวัตถุประสงค์ว่าไม่ประสงค์เพื่อแสวงกำไรอย่างเด็ดขาดไม่ กิจการของการเคหะแห่งชาติจำเลยจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2179/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำเอกสารในหน้าที่ของตนเอง แม้ข้อความไม่ตรงกับความจริง ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร
จำเลยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีมีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีกระแสรายวัน ได้กรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบนำฝากเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันว่ามีการนำเช็คเงินสดมาเข้าบัญชีลูกค้าของธนาคาร และลงชื่อในช่องลายเซ็นชื่อผู้มีอำนาจท้ายแบบพิมพ์ เอกสารที่จำเลยทำขึ้นนั้นจำเลยทำในหน้าที่ของจำเลยเอง จำเลยไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เห็นว่าเป็นเอกสารของผู้อื่น แม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริงโดยไม่มีเช็คมาเข้าบัญชี ก็เป็นเพียงจำเลยทำหนังสือของจำเลยเองอันมีข้อความเป็นเท็จเท่านั้น จำเลยยังไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิแม้จำเลยนำไปใช้ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2153/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กิจการสาธารณูปโภคย่อมมีวัตถุประสงค์แสวงหากำไร แม้เป็นรัฐวิสาหกิจ พนักงานยังคงเป็นลูกจ้าง
การดำเนินกิจการสาธารณูปโภคนั้น มิใช่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการที่มิได้มุ่งหวังกำไรโดยเด็ดขาดหรือเป็นกิจการที่ให้เปล่า กิจการของการประปานครหลวงอาจมีได้ทั้งกำไรและขาดทุน นอกจากนี้ในด้านรายได้กฎหมายก็ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อมีเงินเหลือจากค่าใช้จ่าย ค่าสัมภาระเงินสงเคราะห์ ประโยชน์ตอบแทน โบนัส เงินสำรอง และเงินลงทุนแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ดังนั้น เงินที่นำส่งเป็นรายได้ของรัฐก็คือกำไรจากกิจการของจำเลยนั่นเอง กิจการของจำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
การที่พระราชบัญญัติการประปานครหลวงฯ กำหนดให้พนักงานของจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญานั้นเป็นเพียงกำหนดฐานะของพนักงานของจำเลย ซึ่งตามปกติถือไม่ได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ให้มีฐานะอย่างเจ้าพนักงานเพื่อประโยชน์ในการติดต่อและปฏิบัติงานกับบุคคลภายนอกและความรับผิดทางอาญา ซึ่งพนักงานของจำเลยได้กระทำต่อจำเลยหรือรัฐซึ่งเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยคงเป็นไปในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างอยู่นั่นเอง ถึงหากจำเลยจะเรียกชื่อลูกจ้างประจำเป็นพนักงาน ก็หาได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างไม่
การที่พระราชบัญญัติการประปานครหลวงฯ กำหนดให้พนักงานของจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญานั้นเป็นเพียงกำหนดฐานะของพนักงานของจำเลย ซึ่งตามปกติถือไม่ได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ให้มีฐานะอย่างเจ้าพนักงานเพื่อประโยชน์ในการติดต่อและปฏิบัติงานกับบุคคลภายนอกและความรับผิดทางอาญา ซึ่งพนักงานของจำเลยได้กระทำต่อจำเลยหรือรัฐซึ่งเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยคงเป็นไปในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างอยู่นั่นเอง ถึงหากจำเลยจะเรียกชื่อลูกจ้างประจำเป็นพนักงาน ก็หาได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065-2091/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ขายในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ครอบครองที่ดินหลังการโอนกรรมสิทธิ์ และอำนาจฟ้องร้อง
ในการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับการเคหะแห่งชาติ โจทก์รับรองว่าจะรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้าง กับอพยพผู้อาศัยและบริวารออกไปจากที่ดินให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย 400,000 บาท อีกโสดหนึ่งด้วย ดังนั้นถึงแม้โจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่การเคหะแห่งชาติไปแล้ว โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อตกลงในสัญญา มิฉะนั้นอาจถูกเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายได้ โจทก์จึงมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยผู้อยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินที่โจทก์ขาย และมีอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญาที่ทำกับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2059/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดเชยค่าก่อสร้างตามมติ ครม. ต้องส่งมอบงานหลัง 24 มิ.ย. 2517 แม้ต่ออายุสัญญา ก็ไม่ทำให้เกิดสิทธิ
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับปรุงราคาค่าก่อสร้างสถานที่ราชการเฉพาะงานก่อสร้างที่ค้างอยู่ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2517 เพื่อเป็นการชดเชยค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างเนื่องจากเกิดวิกฤติกาลน้ำมันในปีพ.ศ.2517โดยให้คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงระบบก่อสร้างสถานที่ราชการและถาวรวัตถุของประเทศมีอำนาจวินิจฉัยข้อหารือจากส่วนราชการได้ตามที่เห็นสมควร และคณะกรรมการดังกล่าวได้ให้ความหมายงานส่วนที่ยังค้างอยู่ตามมติของคณะรัฐมนตรีว่าหมายถึงงวดงานที่ส่งมอบภายหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2517และให้ถือเอาวันที่ผู้รับเหมาส่งมอบงานจริง ดังนั้นผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับชดเชยค่าก่อสร้างจะต้องมีงวดงานที่ส่งมอบจริงภายหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2517
งานงวดที่โจทก์ขอเงินค่าชดเชยนี้ โจทก์มีหนังสือส่งมอบงานก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2517 แม้การส่งมอบงานงวดดังกล่าวคณะกรรมการยังไม่รับมอบเพราะงานยังไม่แล้วเสร็จและมาแล้วเสร็จภายหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2517 ก็ถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบงานภายหลังวันที่ 24มิถุนายน 2517 และการที่โจทก์ได้รับอนุมัติให้ต่ออายุสัญญาก็ถือได้เพียงว่าโจทก์มิได้ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดเท่านั้น แต่การส่งงวดงานตามสัญญาก็ต้องถือตามเจตนาของโจทก์ที่ได้ส่งไว้แล้วก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2517 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าก่อสร้าง
จำเลยที่ 1 เป็นเพียงคู่สัญญากับโจทก์และเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องเงินชดเชยค่าก่อสร้างตามที่กำหนดไว้ในมติของคณะรัฐมนตรีแล้วเสนอเรื่องเพื่อขอรับงบประมาณเท่านั้น มิได้มีอำนาจอนุมัติดังนั้น แม้จำเลยที่ 1จะได้แจ้งโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 อนุมัติในหลักการที่โจทก์ขอรับเงินชดเชยค่าก่อสร้าง ก็ไม่ทำให้โจทก์เกิดสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยดังกล่าวได้
งานงวดที่โจทก์ขอเงินค่าชดเชยนี้ โจทก์มีหนังสือส่งมอบงานก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2517 แม้การส่งมอบงานงวดดังกล่าวคณะกรรมการยังไม่รับมอบเพราะงานยังไม่แล้วเสร็จและมาแล้วเสร็จภายหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2517 ก็ถือไม่ได้ว่ามีการส่งมอบงานภายหลังวันที่ 24มิถุนายน 2517 และการที่โจทก์ได้รับอนุมัติให้ต่ออายุสัญญาก็ถือได้เพียงว่าโจทก์มิได้ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดเท่านั้น แต่การส่งงวดงานตามสัญญาก็ต้องถือตามเจตนาของโจทก์ที่ได้ส่งไว้แล้วก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2517 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าก่อสร้าง
จำเลยที่ 1 เป็นเพียงคู่สัญญากับโจทก์และเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องเงินชดเชยค่าก่อสร้างตามที่กำหนดไว้ในมติของคณะรัฐมนตรีแล้วเสนอเรื่องเพื่อขอรับงบประมาณเท่านั้น มิได้มีอำนาจอนุมัติดังนั้น แม้จำเลยที่ 1จะได้แจ้งโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 อนุมัติในหลักการที่โจทก์ขอรับเงินชดเชยค่าก่อสร้าง ก็ไม่ทำให้โจทก์เกิดสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยดังกล่าวได้