พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิเรียกร้องค่าส่วนแบ่งรายได้จากการขายที่ดิน การฟ้องบังคับชำระหนี้
จำเลยให้โจทก์จัดหาที่ดินมาให้จำเลยเสนอขายให้บริษัทส. โดยสัญญาจะแบ่งรายได้สุทธิจากการขายให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระให้โจทก์โดยครบถ้วนย่อมได้ชื่อว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วแม้ทนายความของโจทก์จะมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินอีกภายในกำหนด 7 วัน จำเลยก็ยังปฏิเสธอยู่เช่นเดิมโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิเรียกร้องหนี้จากสัญญาแบ่งรายได้ การฟ้องบังคับชำระหนี้
จำเลยให้โจทก์จัดหาที่ดินมาให้จำเลยเสนอขายให้บริษัท ส. โดยสัญญาจะแบ่งรายได้สุทธิจากการขายให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระให้โจทก์โดยครบถ้วนย่อมได้ชื่อว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว แม้ทนายความของโจทก์จะมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินอีกภายในกำหนด 7 วัน จำเลยก็ยังปฏิเสธอยู่เช่นเดิม โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141-1144/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดทรัพย์ตามคำพิพากษาและระยะเวลายื่นขอเฉลี่ยหนี้: คำว่า 'อายัด' หมายถึงการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติถึงระยะเวลายื่นขอเฉลี่ยของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ว่า'ในกรณีอายัดทรัพย์สินให้ยื่นคำขอเสียก่อนที่มีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้ และไม่ว่ากรณีใดๆห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัด'คำว่า อายัด ในมาตรานี้ หมายถึงการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เพราะเป็นการเฉลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกัน หามีผลรวมถึงการอายัดชั่วคราวก่อนคำพิพากษาด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141-1144/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดทรัพย์ตามคำพิพากษา: ระยะเวลาการขอเฉลี่ยหนี้และการตีความ 'อายัด' ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติถึงระยะเวลายื่นขอเฉลี่ยของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ว่า "ในกรณีอายัดทรัพย์สินให้ยื่นคำขอเสียก่อนที่มีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้ และไม่ว่ากรณีใด ๆ ห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่าสามเดือนนับแต่วันอายัด" คำว่า อายัด ในมาตรานี้ หมายถึงการอายัดของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เพราะเป็นการเฉลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกัน หามีผลรวมถึงการอายัดชั่วคราวก่อนคำพิพากษาด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงานต้องมีเหตุร้ายแรงและตักเตือนก่อน หากไม่มีเหตุร้ายแรง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นพนักงานธนาคารจำเลย ทำงานธุรการ ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน การที่โจทก์ฉวยโอกาสละทิ้งหน้าที่เป็นครั้งคราว และการที่มีเจ้าหนี้หลายรายมาทวงหนี้จำเลยที่สำนักงาน ยังถือไม่ได้ว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ตักเตือนเป็นหนังสือก่อน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงาน: การกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นพนักงานธนาคารจำเลย ทำงานธุรการ ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน การที่โจทก์ฉวยโอกาสละทิ้งหน้าที่เป็นครั้งคราว และการที่มีเจ้าหนี้หลายรายมาทวงหนี้จำเลยที่สำนักงาน ยังถือไม่ได้ว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ตักเตือนเป็นหนังสือก่อน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มติคณะรัฐมนตรีเป็นข้อตกลงสภาพการจ้าง ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาคดีได้
จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีลงมติสั่งให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าครองชีพแก่พนักงาน จึงมีผลให้จำเลยต้องยอมรับและปฏิบัติตาม ดังนั้นการที่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าครองชีพแก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอันเป็นการฝ่าฝืนมติดังกล่าวและโจทก์ ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่าย จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิและหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 8(1) โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มติคณะรัฐมนตรีเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง รัฐวิสาหกิจต้องปฏิบัติตาม โจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลแรงงานได้
จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีลงมติสั่งให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าครองชีพแก่พนักงาน จึงมีผลให้จำเลยต้องยอมรับและปฏิบัติตาม ดังนั้นการที่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าครองชีพแก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอันเป็นการฝ่าฝืนมติดังกล่าวและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่าย จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิและหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ฯ มาตรา 8 (1) โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าครองชีพเป็นค่าจ้างเหมาจ่ายรายเดือนที่ถูกต้องตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องเฉลี่ยตามจำนวนวันทำงาน
เมื่อค่าครองชีพซึ่งรัฐวิสาหกิจจ่ายให้ตามมติของคณะรัฐมนตรีเป็นค่าจ้างประเภทหนึ่งซึ่งจะต้องจ่ายในอัตราเหมาเดือนมิได้จ่ายให้เฉพาะวันที่มาทำงานและไม่มีการหักวันหยุดวันลาต่างๆ อันแตกต่างกับการจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงตามปกติของโจทก์ ดังนั้นการคำนวณค่าล่วงเวลารายชั่วโมงของค่าครองชีพให้แก่โจทก์จึงต้องเอาจำนวนค่าครองชีพหารด้วย 30 คูณด้วย 8(จำนวนชั่วโมงที่โจทก์ทำงานแต่ละวัน) หาใช่เอา21.75 อันเป็นวันทำงานโดยเฉลี่ยของโจทก์ในแต่ละเดือนคูณด้วย 8 มาเป็นตัวหารไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าล่วงเวลาจากค่าครองชีพ: มติคณะรัฐมนตรีให้จ่ายเหมาเดือน ไม่ใช่ตามวันทำงานจริง
เมื่อค่าครองชีพซึ่งรัฐวิสาหกิจจ่ายให้ตามมติของคณะรัฐมนตรีเป็นค่าจ้างประเภทหนึ่งซึ่งจะต้องจ่ายในอัตราเหมาเดือนมิได้จ่ายให้เฉพาะวันที่มาทำงานและไม่มีการหักวันหยุดวันลาต่างๆ อันแตกต่างกับการจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงตามปกติของโจทก์ ดังนั้นการคำนวณค่าล่วงเวลารายชั่วโมงของค่าครองชีพให้แก่โจทก์จึงต้องเอาจำนวนค่าครองชีพหารด้วย 30 คูณด้วย 8 (จำนวนชั่วโมงที่โจทก์ทำงานแต่ละวัน) หาใช่เอา 21.75 อันเป็นวันทำงานโดยเฉลี่ยของโจทก์ในแต่ละเดือนคูณด้วย 8 มาเป็นตัวหารไม่